ไอ้เรื่องติวโทอิคแล้วบอกว่า “รับรองผล” เนี่ยนะ ผมก็เป็นคนนึงที่เคยผ่านประสบการณ์ตรงมาเหมือนกันครับ คือจะว่าดีมันก็มีส่วนดี แต่เอาเข้าจริงมันมีอะไรที่เราต้องรู้ลึกกว่าป้ายโฆษณาสวยๆ เยอะเลยล่ะ
เรื่องมันเริ่มจากตอนนั้นผมต้องการคะแนนโทอิคแบบด่วนจี๋เลยครับ เพราะดันมีบริษัทในฝันเรียกสัมภาษณ์งาน แล้วหนึ่งในเอกสารสำคัญที่ต้องยื่นก็คือผลคะแนนโทอิคเนี่ยแหละ ใจผมนี่เต้นรัวเป็นกลองเลยครับ วิ่งวุ่นหาข้อมูลใหญ่เลยว่าจะไปลงคอร์สติวที่ไหนดี แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับป้ายโฆษณาที่เขียนตัวโตๆ ว่า “คอร์สติวโทอิค รับรองผล!” บางที่ก็มี “ไม่ผ่านคืนเงิน” แต่มีดอกจันตัวเล็กจิ๋วๆ กำกับไว้ข้างท้ายอีกที ตอนนั้นด้วยความที่เวลามันบีบคั้น ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ! ลองดูสักตั้ง

พอได้เข้าไปเรียนวันแรก สิ่งที่ผมสัมผัสได้เลยก็คือ ตารางเรียนที่อัดมาซะแน่นเอี๊ยด ตั้งแต่เช้ายันเย็น แล้วก็ชีทแบบฝึกหัดอีกเป็นกองพะเนิน คือทางสถาบันเค้าไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรมาเสกให้เราเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาได้ในพริบตาหรอกนะครับ ไอ้คำว่า “รับรองผล” ที่เค้าป่าวประกาศกันน่ะ มันพ่วงมาด้วยเงื่อนไขยุบยับเต็มไปหมดเลยครับ ตัวอย่างเช่น:
- คุณต้องเข้าเรียนให้ครบทุกชั่วโมง ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามมาสายโดยเด็ดขาด
- การบ้านทุกชิ้น แบบฝึกหัดทุกหน้า ต้องทำให้เสร็จแล้วส่งตรงตามเวลาเป๊ะๆ
- ต้องทำคะแนนสอบย่อย หรือ mock test ของทางสถาบันให้ผ่านเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้ ซึ่งบางทีก็โหดหินไม่ใช่เล่น
ถ้าเกิดว่าเราทำไม่ได้ตามเงื่อนไขข้อใดข้อนึงที่ว่ามานี้ คำว่า “รับรองผล” ที่เคยได้ยินมา ก็เหมือนจะลอยหายไปกับอากาศธาตุเลยครับเพื่อนๆ แล้วสมมุตินะครับว่าถ้าเราทำตามทุกอย่างครบถ้วนกระบวนความแล้ว แต่คะแนนสอบจริงมันยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้จริงๆ เค้าก็อาจจะมีออฟชั่นให้เรากลับมาเรียนซ้ำได้ฟรีอีกรอบ หรืออะไรทำนองนั้น แต่ถามใจตัวเองดูเถอะครับว่าจะมีใครอยากเสียเวลา เสียพลังงานไปเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกรอบล่ะ จริงไหม?
วิธีการสอนที่ผมเจอมากับตัว ส่วนใหญ่เลยนะครับ เค้าจะเน้นให้เรา ตะลุยทำโจทย์ข้อสอบเก่าสถานเดียว เอาข้อสอบปีก่อนๆ มาให้ทำซ้ำไปซ้ำมา จับเวลาเหมือนสอบจริง แล้วก็แทรกด้วยเทคนิคการเดาคำตอบ การตัดตัวเลือกที่ไม่เข้าพวกออกไป ซึ่งผมยอมรับนะว่ามันก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาบ้างแล้ว และอยากจะอัพคะแนนแบบเร่งรัด แต่ถ้าใครที่พื้นฐานยังไม่แน่นเลย ทั้งแกรมม่า ทั้งคำศัพท์ยังกระท่อนกระแท่น ผมว่าการเข้าไปนั่งในคลาสแบบนั้น อาจจะเหมือนนั่งฟังภาษาต่างดาว แล้วก็ได้แต่งงเป็นไก่ตาแตกกลับบ้านไปเปล่าๆ ครับ สู้เอาเวลาไปปูพื้นฐานตัวเองให้แน่นๆ ก่อนน่าจะดีกว่า呃>
เอาจริงๆ นะครับ ผมว่าไอ้เรื่อง “รับรองผล” ทั้งหลายแหล่เนี่ย มันเป็นเหมือนกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งมากกว่า ที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาสมัครเรียน ความสำเร็จในการสอบโทอิคให้ได้คะแนนดีๆ เนี่ย มันอยู่ที่ตัวของเราเองล้วนๆ เลยครับ ความมีวินัย ความสม่ำเสมอในการทบทวน แล้วก็ความตั้งใจจริงของเราต่างหากที่เป็นตัว “รับรองผล” ที่แท้จริง คอร์สติวเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือเสริม หรือเป็นเหมือนพี่เลี้ยงที่คอยกระตุ้น คอยชี้แนะแนวทางให้เราเท่านั้นแหละครับ แต่ถ้าตัวเราเองไม่ขวนขวาย ไม่ลงมือฝึกฝน ไม่ทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง ต่อให้ไปติวกับอาจารย์ที่เก่งที่สุดในโลก คะแนนมันก็คงไม่กระเตื้องขึ้นมาง่ายๆ หรอกครับ
ถามว่าแล้วตัวผมเองรอดไหม? ก็ต้องบอกว่าผ่านมาได้ด้วยดีครับ แต่ไม่ใช่เพราะคำว่า “รับรองผล” จากสถาบันไหนหรอกนะครับ เป็นเพราะว่าตัวผมนี่แหละที่กลับมาบ้านแล้วก็นั่งอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติมเองทุกวันหลังเลิกเรียน เรียกว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยก็ว่าได้ แต่พอผลสอบออกมาแล้วเห็นคะแนนที่ตั้งใจไว้ มันก็รู้สึกคุ้มค่ากับที่เหนื่อยไปทั้งหมดครับ วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงนี้ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันเฉยๆ เผื่อใครที่กำลังมองหาที่ติวโทอิคอยู่ จะได้ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับคำโฆษณามากจนเกินไปนัก สุดท้ายแล้ว การพึ่งพาตัวเองและตั้งใจจริงคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ!