สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ เลย เกี่ยวกับการสอบ GMAT ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ หรือบางคนก็กำลังหัวหมุนอยู่กับมันแน่ๆ ตอนผมน่ะเหรอ ตอนนั้นก็งงๆ เหมือนกันว่าจะเริ่มยังไงดี
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
เรื่องมันเริ่มมาจากความคิดที่ว่าอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วไอ้เจ้า GMAT เนี่ย มันก็เป็นเหมือนด่านแรกๆ ที่ต้องผ่านไปให้ได้ ตอนแรกก็คิดนะว่ามันจะสักแค่ไหนกันเชียว ข้อสอบวัดความรู้ทั่วไป แต่พอได้ลองไปสืบๆ ดูข้อมูลเท่านั้นแหละ โอ้โห… มันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ มีทั้งพาร์ทคณิตศาสตร์ (Quantitative) ทั้งพาร์ทภาษาอังกฤษ (Verbal) แถมยังมี Integrated Reasoning กับ Analytical Writing Assessment อีก คือเห็นแล้วท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยจริงๆ

แต่เอาวะ ในเมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องลองดูสักตั้ง ผมก็เริ่มจากการหาข้อมูลนี่แหละครับว่าคนอื่นเขาเตรียมตัวกันยังไงบ้าง มีหนังสือเล่มไหนที่เขาว่าดี มีคอร์สอะไรที่น่าสนใจ แต่ด้วยความเป็นคนชอบลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ก็เลยตัดสินใจว่า จะลองลุยเองดูก่อน
ช่วงเวลาแห่งการเตรียมตัว (ที่แสนยาวนาน)
ผมเริ่มต้นด้วยการไปสอยหนังสือเตรียมสอบ GMAT ที่เขาว่ากันว่า “ต้องมี” มาสองสามเล่ม เปิดมาวันแรกๆ นี่แทบอยากจะปาทิ้งเลยครับ เนื้อหาก็เยอะ คำศัพท์ก็ยาก โดยเฉพาะพาร์ท Verbal นี่ตัวดีเลย พวก Reading Comprehension กับ Critical Reasoning เนี่ย อ่านโจทย์วนไปวนมาสามรอบก็ยังไม่เข้าใจว่ามันต้องการอะไร ส่วน Sentence Correction ก็แกรมม่าจ๋ามาเลย ใครพื้นฐานไม่แน่นนี่มีมึน
สิ่งที่ผมทำเป็นประจำในช่วงนั้นก็คือ:
- พยายามทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์: โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ผมจะพยายามย้อนกลับไปทบทวนพื้นฐานเลยครับ เรื่องไหนที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะหาคลิปสอนในเน็ตดูเอา แบบค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละจุด
- ฝึกทำโจทย์ทุกวัน: อันนี้สำคัญมาก ผมจะตั้งเป้าไว้เลยว่าวันนี้ต้องทำกี่ข้อ แล้วพอทำเสร็จก็จะมานั่งดูเฉลยละเอียด ว่าทำไมข้อนี้ถึงตอบแบบนี้ ข้อที่เราผิด ผิดเพราะอะไร คือมันไม่ใช่แค่ทำๆ ให้จบๆ ไป แต่ต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดด้วย
- จับเวลาทำข้อสอบ: พอเริ่มคุ้นเคยกับโจทย์บ้างแล้ว ผมก็เริ่มจับเวลาทำข้อสอบเสมือนจริงเลยครับ เพราะ GMAT นี่แข่งกับเวลาสุดๆ ถ้าบริหารเวลาไม่ดีนี่จบเห่เลยนะ ต่อให้รู้ว่าจะทำยังไงแต่ทำไม่ทันก็ไม่มีประโยชน์
- ดูแลสุขภาพ: ช่วงนั้นเครียดมากครับ บอกเลยว่าอ่านหนังสือดึกดื่นทุกวัน แต่ก็พยายามหาเวลาออกกำลังกายบ้าง กินอาหารดีๆ บ้าง ไม่งั้นร่างกายมันจะรับไม่ไหวเอา
มีหลายครั้งเลยที่รู้สึกท้อ อยากจะเลิก แต่ก็นึกถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็เลยฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องมีวินัยกับตัวเองสูงมากจริงๆ ครับ ไม่มีใครมาบังคับเราได้ เราต้องบังคับตัวเองล้วนๆ
วันลงสนามจริง
พอถึงวันสอบจริงนี่ตื่นเต้นมากครับ นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ในหัวมันมีแต่เรื่องข้อสอบเต็มไปหมด พอไปถึงสนามสอบ บรรยากาศมันก็เงียบๆ ตึงเครียดๆ หน่อย เจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายกฎระเบียบต่างๆ แล้วก็พาเราไปนั่งที่คอมพิวเตอร์ของตัวเอง
ตอนเริ่มทำข้อสอบส่วนแรก Analytical Writing Assessment กับ Integrated Reasoning ก็ยังพอไหวครับ แต่พอมาถึง Quantitative กับ Verbal เท่านั้นแหละ ความกดดันมันถาโถมเข้ามาเลยครับ เวลาเหมือนจะเดินเร็วกว่าปกติมากๆ บางข้อนี่อ่านแล้วคิดไม่ออกจริงๆ ก็ต้องพยายามตัดใจแล้วข้ามไปทำข้ออื่นก่อน กลัวทำไม่ทัน พาร์ท Verbal นี่หนักสุดสำหรับผมเลยครับ อ่านบทความยาวๆ แล้วต้องมาตอบคำถามภายใต้เวลาที่จำกัดนี่มันบีบคั้นหัวใจจริงๆ
พอทำข้อสอบเสร็จแล้วเดินออกจากห้องสอบนี่โล่งแบบบอกไม่ถูกเลยครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่เราก็ทำเต็มที่แล้วจริงๆ
บทสรุปและสิ่งที่ได้เรียนรู้
หลังจากสอบเสร็จ ก็ต้องรอผลคะแนนอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ลุ้นพอสมควรครับ ตอนเห็นคะแนนครั้งแรกก็มีทั้งส่วนที่พอใจและส่วนที่คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่โดยรวมแล้ว ผมมองว่าการเตรียมตัวสอบ GMAT มันให้อะไรมากกว่าแค่คะแนนสอบนะ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้คือ:

- การวางแผนและมีวินัย: ถ้าไม่มีแผนการอ่านหนังสือที่ดี และไม่มีวินัยในตัวเอง บอกเลยว่าไปไม่รอดแน่ๆ
- การจัดการกับความเครียดและแรงกดดัน: อันนี้ได้ฝึกเต็มๆ เลยครับ ทั้งตอนเตรียมตัวและตอนสอบจริง
- การเรียนรู้ที่จะล้มเหลวและลุกขึ้นใหม่: ทำโจทย์ผิดเป็นเรื่องปกติครับ สำคัญคือเราเรียนรู้อะไรจากมันแล้วพยายามใหม่
- รู้จักตัวเองมากขึ้น: ได้รู้ว่าเรามีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ต้องปรับปรุงอะไรบ้าง
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวสอบ GMAT อยู่ หรือกำลังคิดจะสอบ ผมอยากจะบอกว่าเป็นกำลังใจให้นะครับ มันอาจจะยาก มันอาจจะเหนื่อย แต่มันไม่เกินความพยายามของเราแน่นอนครับ สู้ๆ ครับ!