สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับเรื่องที่หลายคนชอบถามกันเข้ามา ว่าไอ้เจ้า GMAT เนี่ย มันสอบยากจริงไหม ขอบอกตรงนี้เลยว่า จากที่เคยไปคลุกคลีตีโมงกับมันมาพักใหญ่ๆ เนี่ย มันก็มีมุมที่อยากจะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของการผจญภัย GMAT
ตอนนั้นจำได้เลยว่าไฟมันแรง อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ทีนี้ไอ้ GMAT นี่แหละที่เป็นด่านแรกๆ ที่ต้องผ่านให้ได้ ตอนแรกก็คิดนะ ว่าเออ มันจะซักแค่ไหนกันเชียววะ ภาษาอังกฤษเราก็พอได้ เลขก็น่าจะไหวอยู่ แต่พอไปเปิดๆ ดูตัวอย่างข้อสอบเท่านั้นแหละ… โอ้โห ถึงกับต้องอุทานในใจว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

ช่วงเตรียมตัวสุดโหด
หลังจากตั้งสติได้ ก็เริ่มเลยครับ ลงมือซื้อหนังสือ มาเป็นตั้งๆ ทั้ง Official Guide ทั้งของค่ายดังๆ ที่เค้าว่าดี คือกองเต็มโต๊ะไปหมด ช่วงแรกๆ นี่คือปรับตัวหนักมาก
- ส่วน Verbal: อันนี้ยอมรับเลยว่าหินสุดๆ โดยเฉพาะพวก Critical Reasoning กับ Reading Comprehension คือมันไม่ใช่แค่อ่านเข้าใจแล้วตอบได้นะ มันต้องคิดวิเคราะห์แบบซับซ้อนหลายชั้น อ่านโจทย์ทีนึงยังต้องวนกลับไปอ่านใหม่สองสามรอบกว่าจะเก็ทว่ามันถามอะไรกันแน่ ส่วน Sentence Correction นี่ก็เหมือนจะง่าย แต่พลาดง่ายมากถ้าไม่แม่นแกรมม่าจริงๆ ศัพท์ก็ต้องท่องกันแบบเอาเป็นเอาตาย
- ส่วน Quantitative: อันนี้สำหรับผมถือว่าพอถูไถไปได้นะ เพราะพื้นฐานเลข ม.ปลาย เราค่อนข้างแน่น แต่ปัญหามันอยู่ที่เวลา! โจทย์บางข้อมันดูเหมือนง่าย แต่ถ้าคิดช้า หรือเลือกวิธีผิด ก็คือเสียเวลาไปฟรีๆ เลย แล้วไอ้ Data Sufficiency นี่แหละตัวดีเลย ชอบหลอกให้เราคิดเยอะเกินจำเป็น
ผมนี่คือ จัดตารางอ่านหนังสือ แบบจริงจังมาก เลิกงานกลับมาก็ต้องมานั่งทำโจทย์ต่อ วันเสาร์อาทิตย์นี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย คือทุ่มสุดตัวจริงๆ มีท้อบ้างไหม? บอกเลยว่าบ่อย! บางทีทำโจทย์ผิดติดๆ กันนี่อยากจะปาหนังสือทิ้ง แต่ก็ต้องฮึดสู้ เพราะตั้งใจไว้แล้ว
วันสอบจริง… ความรู้สึกที่จำไม่ลืม
พอถึงวันสอบจริง ตื่นเต้นมากครับ มือเย็นเฉียบไปหมด บรรยากาศในห้องสอบนี่คือเงียบกริบ มีแต่เสียงคลิกเมาส์กับเสียงหายใจของตัวเอง ตอนทำส่วน Quant ก็รู้สึกว่าทำได้เรื่อยๆ นะ แต่พอมาเจอ Verbal เท่านั้นแหละ สมองตื้อไปเลย โดยเฉพาะพาร์ท Reading ยาวๆ คือตาลายมาก พยายามตั้งสติ ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ คิด เวลาแต่ละนาทีมันผ่านไปเร็วมากจริงๆ
ไอ้ที่เค้าว่าเป็น Computer Adaptive Test เนี่ย ผมว่ามันก็มีผลต่อจิตใจเหมือนกันนะ คือถ้าทำข้อแรกๆ ได้ดี ข้อต่อๆ ไปมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ พอเจอข้อยากติดๆ กันมันก็แอบใจเสียเหมือนกันว่าเอ๊ะ หรือเราทำพลาดตรงไหนไปรึเปล่า
บทสรุปและสิ่งที่ได้เรียนรู้
หลังจากสอบเสร็จออกมานี่คือโล่งแบบบอกไม่ถูก แต่ก็ยังลุ้นๆ คะแนนอยู่ พอคะแนนออกมา ก็… ก็ตามสภาพครับ ฮ่าๆ อาจจะไม่ได้สูงปรี๊ดอย่างที่ฝันไว้ แต่ก็ถือว่าทำเต็มที่แล้ว
ถ้าถามว่า GMAT ยากไหม? ผมตอบได้เต็มปากเลยว่า “ยาก” ครับ มันไม่ใช่แค่การสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ แต่มันวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาภายใต้แรงกดดันเรื่องเวลา และความอดทนในการเตรียมตัวอย่างหนักหน่วง
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะยากเกินไปจนไม่มีใครผ่านได้นะครับ ถ้าเรามีการวางแผนที่ดี มีวินัยในการเตรียมตัว ฝึกทำโจทย์เยอะๆ จับจุดข้อสอบให้ได้ ผมว่าใครๆ ก็มีโอกาสทำคะแนนได้ดีครับ มันเป็นประสบการณ์ที่เหนื่อย แต่ก็สอนอะไรเราหลายอย่างเลย ทั้งเรื่องการบริหารเวลา การรับมือกับความเครียด และที่สำคัญคือการไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ครับ
หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังคิดจะไปสอบ GMAT นะครับ สู้ๆ ครับ!