ว่าด้วยเรื่อง GMAT คะแนนเต็มเนี่ยนะ…
สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ เลยนะ เกี่ยวกับไอ้เจ้า GMAT เนี่ยแหละ โดยเฉพาะเรื่อง “คะแนนเต็ม” ที่หลายคนใฝ่ฝัน (รวมถึงผมด้วยในตอนนั้น ฮ่าๆ)
ตอนแรกเลยนะ ผมก็เหมือนหลายๆ คนแหละ พอตั้งเป้าว่าจะไปเรียนต่อ MBA สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ GMAT แล้วก็แอบคิดในใจว่า “เออ ทำให้มันเต็มไปเลยดีไหมวะ จะได้เท่ๆ” ความคิดเด็กน้อยมากครับตอนนั้น ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเล้ยยย ว่ามันหินขนาดไหน

เริ่มจากศูนย์จริงๆ
ผมเริ่มจากการไปกว้านซื้อหนังสือมาครับ ทั้ง Official Guide เล่มหนาเตอะ, Manhattan Prep ครบเซ็ต, Kaplan ก็มี คือกองเต็มโต๊ะไปหมด เปิดมาวันแรกๆ นั่งมองหน้ากันกับหนังสือ งงไปหมด อะไรคือ Sentence Correction, Data Sufficiency คืออะไรวะเนี่ยศัพท์แสงอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ตอนนั้นคิดเลยว่า “เอาแล้วไงกรู” แต่ก็เอาวะ ลองดูซักตั้ง
ช่วงแรกๆ ก็อ่านตะบี้ตะบันไปครับ พยายามทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์แต่ละส่วน เริ่มจาก Quant ก่อนเลย เพราะคิดว่าน่าจะพอถูไถได้ เพราะพื้นฐานเลขเราก็ไม่ได้แย่มาก แต่ปรากฏว่า โอ้โห ลืมไปเยอะมากครับ พวกเรขาคณิต พีชคณิต ความน่าจะเป็น ต้องมารื้อฟื้นกันใหม่หมดเลย นั่งทำโจทย์ไป เปิดเฉลยไป ผิดบ้างถูกบ้าง
พอ Quant เริ่มเข้าที่เข้าทางหน่อย ก็ขยับไป Verbal ส่วนนี้แหละครับ ตัวทำน้ำตาตกในของจริง!
- Sentence Correction (SC): แกรมม่าล้วนๆ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องรู้ ก็ต้องมารู้ตอนนี้แหละครับ tense, agreement, parallelism, modifier โอ้โห สารพัดจะมา ตอนแรกๆ นี่ผิดกระจายครับ อ่านเฉลยก็ยังงงๆ ว่าทำไมต้องตอบข้อนี้
- Critical Reasoning (CR): ส่วนนี้เหมือนนักสืบเลยครับ ต้องวิเคราะห์ assumption, strengthen, weaken, evaluate argument สนุกดีนะ แต่บางทีก็โดนโจทย์หลอกง่ายๆ เลย
- Reading Comprehension (RC): อ่านบทความยาวๆ แล้วมาตอบคำถาม ส่วนตัวผมว่าส่วนนี้ถ้าจับใจความได้ก็ไม่ยากมาก แต่ต้องแข่งกับเวลา แล้วศัพท์บางทีก็ยากเกิ๊น
นอกจากนี้ก็ยังมี Integrated Reasoning (IR) กับ Analytical Writing Assessment (AWA) อีกนะ สองส่วนนี้ผมก็แบ่งเวลามาซ้อมทำบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะ AWA ก็ต้องหัดเขียนโครงสร้างให้มันเป๊ะๆ หน่อย
ลงสนามซ้อม (Mock Tests)
พอรู้สึกว่าพอจะมีความรู้ติดหัวบ้างแล้ว ผมก็เริ่มทำ Mock Test ครับ ของ Official นี่แหละสำคัญสุด ทำครั้งแรกนี่คะแนนออกมาแทบจะเขวี้ยงคอมทิ้งเลยครับ มันไม่ได้เหมือนที่คิดไว้เลยซักนิด ตอนนั้นท้อมาก แต่ก็ฮึดสู้ใหม่ กลับไปดูว่าผิดตรงไหนเยอะ ทำไมถึงผิด แล้วก็กลับไปทวนตรงนั้นซ้ำๆ
ผมทำ Mock Test ไปหลายชุดเลยครับ ทั้งของ Official เอง แล้วก็ของค่ายอื่นๆ ที่ซื้อมาด้วย ทุกครั้งที่ทำเสร็จ ก็จะมานั่งวิเคราะห์ข้อผิดพลาดอย่างละเอียดเลย จดไว้เลยว่าพลาดเรื่องอะไรบ่อยๆ จะได้ไปอุดรูรั่วตรงนั้น
แล้วคะแนนเต็มล่ะ?

เอาตรงๆ นะครับ ไอ้เป้าหมาย “คะแนนเต็ม” น่ะ มันเหมือนเป็นดาวเหนือที่ไกลลิบๆ พอเราเริ่มฝึกจริงจัง ทำข้อสอบจับเวลาจริงๆ จะรู้เลยว่ามันยากมากๆๆๆๆๆ ที่จะเก็บทุกเม็ด ทุกคะแนน มันต้องเป๊ะทุกอย่างจริงๆ ซึ่งสำหรับคนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยแบบผม (ตอนนั้นนะ) มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ถามว่าการตั้งเป้าสูงๆ มันดีไหม ผมว่าดีนะ มันทำให้เราพยายามมากขึ้น ผลักดันตัวเองสุดๆ สุดท้ายแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่ได้คะแนนเต็มอย่างที่ฝันไว้ตอนแรก (ได้แค่ไหนขอไม่บอกละกัน เขิน ฮ่าๆ) แต่คะแนนที่ได้มันก็ดีพอที่จะทำให้ผมไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ครับ คือการได้เข้าไปเรียนในที่ที่อยากเรียน
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากมหากาพย์ GMAT (นอกจากความรู้สอบ)
- วินัยสำคัญสุดๆ: ต้องบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ ทำโจทย์สม่ำเสมอจริงๆ
- การบริหารเวลา: ทั้งเวลาในการเตรียมตัว และเวลาในห้องสอบ
- การรับมือกับความผิดหวัง: คะแนน Mock Test ไม่ดี ก็ต้องลุกขึ้นสู้ต่อ
- การวิเคราะห์จุดอ่อนตัวเอง: รู้ว่าพลาดตรงไหน แล้วแก้ไขมัน
ก็ประมาณนี้แหละครับ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมกับ GMAT ตั้งแต่เริ่มฝันเฟื่องถึงคะแนนเต็ม จนถึงวันที่เดินเข้าห้องสอบจริงๆ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังเตรียมตัวอยู่นะครับ ไม่ว่าเป้าหมายคะแนนจะเป็นเท่าไหร่ ขอแค่พยายามให้เต็มที่ก็พอแล้วครับ สู้ๆ ครับ!