สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับไอ้เจ้า TOEFL เนี่ย หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ แต่บางคนก็อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่ เหมือนผมตอนแรกๆ นั่นแหละครับ 555+
มันเริ่มมาจากความอยากไปเรียนต่อนอกของผมนี่แหละ
คือเรื่องของเรื่องเลยนะ ตอนนั้นผมมีความฝัน อยากจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศมากๆ ใจน่ะอยากไป แต่ข้อมูลนี่แทบจะเป็นศูนย์เลยครับ ก็เริ่มๆ หาข้อมูลไปเรื่อยเปื่อย ถามเพื่อนบ้าง ถามรุ่นพี่บ้าง จนกระทั่งมีคนพูดถึงคำว่า “ต้องมีผลสอบ TOEFL นะ” ตอนนั้นผมก็แบบ ห๊ะ? โท-เฟล? คืออะไรวะ? ชื่อฟังดูเหมือนยี่ห้อขนมปังอะไรสักอย่าง ตอนแรกนึกภาพไม่ออกจริงๆ ครับ
ก็เลยต้องเริ่มปฏิบัติการสืบเสาะหาความจริง ว่าไอ้เจ้า TOEFL ที่เขาพูดถึงกันเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ สำคัญขนาดไหน ทำไมต้องสอบด้วยวะ?
พอไปขุดคุ้ยดู ถึงบางอ้อเลยครับ!
ผมก็เริ่มจากการถามเพื่อนที่มันเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนมาก่อน แล้วก็ลองเสิร์ชๆ ดูตามประสาคนอยากรู้ (แต่ไม่บอกหรอกนะว่าเสิร์ชที่ไหน อิอิ) ก็เลยได้ความว่า TOEFL (โทเฟล) เนี่ย มันย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language ครับ แปลเป็นไทยบ้านๆ ก็คือ เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของเราๆ นี่แหละ สำหรับคนที่ภาษาแม่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แล้วมีความฝันอยากจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการเรียนการสอน พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะไปเรียนในประเทศที่เขาพูดอังกฤษกันโครมๆ เนี่ย ส่วนใหญ่ก็ต้องมีผลสอบตัวนี้แหละครับ
โอ้โห พอรู้แบบนี้ก็ถึงกับร้องอ๋อเลย! แล้วที่สำคัญคือ เขาบอกว่ามันเป็น การสอบมาตรฐานระดับสากล เลยนะ ไม่ใช่ไก่กาอาราเล่ที่ไหน คือมหาวิทยาลัยดังๆ ทั่วโลก กว่า 150 ประเทศ แล้วก็มีสถาบันการศึกษาเป็นหมื่นๆ แห่ง (เขาว่ามากกว่า 11,000 แห่งแน่ะ!) เขายอมรับผลสอบ TOEFL นี้ในการพิจารณารับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบททางวิชาการ เช่น การเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนั่นแหละครับ
พูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณอยากจะไปเรียนต่อในที่ที่เขาใช้ภาษาอังกฤษกันจริงๆ จังๆ ไอ้เจ้า TOEFL นี่แหละ คือใบเบิกทางสำคัญเลยทีเดียว
ประสบการณ์ตรง (ที่อยากเมาท์) กับการเตรียมตัว
พอรู้ว่ามันสำคัญขนาดนี้แล้ว ก็เอาล่ะสิครับ งานเข้า! ตอนแรกก็คิดในใจ “เออ ภาษาอังกฤษเราก็พอได้แหละมั้ง คงไม่ยากเท่าไหร่หรอก” แต่พอไปลองดูแนวข้อสอบเก่าๆ เท่านั้นแหละครับ… โอ้โห! แม่เจ้า! มันไม่ใช่แค่สอบแกรมม่า ท่องศัพท์ หรืออ่านบทความสั้นๆ แล้วตอบคำถามเหมือนที่เราเคยเรียนมาตอนมัธยมนะครับ
ไอ้เจ้า TOEFL เนี่ย มันวัดทักษะเราครบเครื่องเลย ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน แล้วแต่ละส่วนนะ ขอบอกเลยว่าหินไม่ใช่เล่นๆ
- พาร์ทฟัง (Listening): นี่คือแบบ… ฟังเลคเชอร์ในห้องเรียนจริงๆ เลยครับ อาจารย์พูดเร็ว แถมมีศัพท์วิชาการมาเต็ม บางทีก็เป็นบทสนทนาของนักศึกษา คุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้ เราต้องจับใจความให้ได้ แล้วตอบคำถาม
- พาร์ทอ่าน (Reading): บทความยาวเป็นหน้ากระดาษเลยครับ เนื้อหาก็จะเป็นแนววิชาการจ๋าๆ ประวัติศาสตร์บ้าง วิทยาศาสตร์บ้าง ศัพท์ก็ยาก ต้องอ่านเร็วแล้วจับประเด็นให้ได้
- พาร์ทพูด (Speaking): อันนี้พีค! เขาจะให้เราอ่านบทความสั้นๆ หรือฟังบทสนทนา แล้วก็ให้เราสรุป หรือแสดงความคิดเห็นอัดเสียงส่งไป คือต้องคิดคำพูดสดๆ แล้วพูดให้มันรู้เรื่องภายในเวลาที่กำหนด กดดันสุดๆ!
- พาร์ทเขียน (Writing): มีทั้งแบบให้อ่านบทความแล้วฟังเลคเชอร์ที่เห็นต่างกัน แล้วให้เราสรุป กับอีกแบบคือให้แสดงความคิดเห็นต่อหัวข้อที่เขากำหนดมา ต้องเขียนเป็นเรียงความยาวๆ ใช้ศัพท์ ใช้แกรมม่าให้ถูกต้อง โอย… ปวดหัว!
ผมนี่จำได้เลย ช่วงเตรียมตัวสอบนะ เหมือนจำศีลเลยครับ อ่านหนังสือวันละหลายชั่วโมง ฝึกทำข้อสอบเก่าจนพรุน ลองอัดเสียงตัวเองพูดภาษาอังกฤษแล้วฟัง (โคตรเขิน!) คือมันต้องทุ่มเทจริงๆ ครับ ไม่ใช่ว่าอ่านคืนเดียวก่อนสอบแล้วจะรอดนะ ไม่มีทาง!
สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์ผมเอง
ก็คือถ้าถามว่า toefl คืออะไร? คำตอบแบบบ้านๆ ของผมก็คือ มันคือบททดสอบสุดโหด (แต่ก็คุ้มค่า) ที่จะพิสูจน์ว่าภาษาอังกฤษของเราดีพอที่จะไปเรียนต่อเมืองนอกในมหาลัยที่ใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ ได้หรือเปล่า มันไม่ใช่แค่สอบผ่านแล้วจบ แต่มันคือการเตรียมความพร้อมให้เราสามารถไปใช้ชีวิตนักศึกษาในต่างแดนได้จริงๆ ฟังอาจารย์รู้เรื่อง อ่านตำราเข้าใจ สื่อสารกับเพื่อนๆ ได้นั่นเองครับ
ใครที่กำลังมีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนผมในตอนนั้น ก็เตรียมตัวเตรียมใจเจอกับด่านนี้ได้เลยครับ มันอาจจะดูยาก อาจจะดูท้อ แต่ถ้าเราตั้งใจจริง มีวินัยในการฝึกฝน ผมเชื่อว่าทุกคนผ่านมันไปได้แน่นอนครับ สู้ๆ ครับ!
