สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ กับเรื่อง TOEIC ในบ้านเรานี่แหละครับ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนะ แค่คนเคยผ่านสนามมาแล้วก็อยากเล่าสู่กันฟัง
เรื่องของเรื่องมันเริ่มจาก…
เอ้อ คือตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ไฟแรงเฟร่อ! คิดว่าภาษาอังกฤษเราก็พอได้แหละน่า ไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการหางาน แต่พอเริ่มส่องๆ ดูประกาศรับสมัครงานเท่านั้นแหละ โอ้โห… แทบทุกที่จะมีวงเล็บต่อท้ายว่า (ผลคะแนน TOEIC XXX คะแนนขึ้นไป) ตอนแรกก็แอบหัวร้อนนิดๆ นะ แบบ เฮ้ย! จะวัดกันแค่นี้เลยเหรอวะ ความสามารถด้านอื่นไม่มองกันเลยรึไง

แต่ก็นั่นแหละครับ บ่นไปก็เท่านั้น ในเมื่อตลาดแรงงานเค้าต้องการ เรามันก็แค่คนหางานตัวเล็กๆ ก็ต้องปรับตัวกันไป เลยตัดสินใจว่า เอาวะ! ไปสอบก็ไปสอบ จะได้รู้กันไปเลย!
ลงสนามจริงครั้งแรก และความเข้าใจผิดๆ
ผมก็เริ่มจากการไปหาข้อมูลก่อนเลยครับว่าไอ้เจ้า TOEIC เนี่ยมันสอบอะไรบ้าง หน้าตาข้อสอบเป็นยังไง ส่วนใหญ่ก็จะเป็น Listening กับ Reading ใช่ไหมครับ ตอนนั้นก็คิดง่ายๆ ว่า อ๋อ แค่ฟังกับอ่าน สบายมาก ภาษาอังกฤษเราก็เรียนมาตั้งแต่อนุบาล ปร๋อแน่นอน
พอถึงวันสอบจริงเท่านั้นแหละครับ… ความมั่นใจที่เคยมีมันหายวับไปกับตา! ไอ้ Listening เนี่ย มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิดเลยครับ เสียงในเทปมันเร็วปรื๊ด แล้วสำเนียงก็หลากหลายมาก บางทีฟังไม่ทันจบประโยค คำถามต่อไปมาแล้ว ต้องรีบฝนคำตอบอีก คือมันไม่ใช่แค่ฟังเข้าใจ แต่มันต้องเร็ว ต้องแม่นด้วย ส่วน Reading ก็ใช่ย่อย บทความยาวเหยียด ศัพท์บางคำก็ไม่เคยเห็น แถมเวลาก็บีบสุดๆ ทำแทบไม่ทัน
ออกจากห้องสอบวันนั้นคือมึนตึ้บเลยครับ รู้ตัวเลยว่าพลาดแล้ว คะแนนออกมาก็ตามคาด… ไม่ได้สวยงามอย่างที่ฝันไว้เลยสักนิด
ปฏิบัติการกู้หน้า และค้นพบความจริง
หลังจากเฟลไปรอบแรก ผมก็กลับมาตั้งหลักใหม่ครับ คราวนี้ไม่ประมาทแล้ว ไปลงคอร์สติวเลยครับ ยอมรับเลยว่าตอนแรกก็แอบอายนะ แบบจบมาแล้วยังต้องมานั่งเรียนพิเศษอีกเหรอ แต่พอได้ไปเรียนจริงๆ เออ มันช่วยได้เยอะเลยว่ะ อาจารย์เค้าจะมีเทคนิค มีทริคต่างๆ ในการทำข้อสอบ เช่น การเดาคำตอบจากบริบท การบริหารเวลา หรือแม้แต่การจับ Keyword ใน Listening
ผมเริ่มฝึกทำข้อสอบเก่าๆ ย้อนหลังเป็นสิบๆ ชุดเลยครับ จับเวลาจริงจัง ทำไปแรกๆ ก็ยังผิดเยอะอยู่ แต่ก็ค่อยๆ ดีขึ้น สังเกตเห็นเลยว่า TOEIC มันมีแพทเทิร์นของมันอยู่เหมือนกันนะ ถ้าเราจับทางได้ ฝึกฝนบ่อยๆ มันก็จะเริ่มชินไปเอง
ระหว่างที่เตรียมตัวสอบรอบสองเนี่ย ผมก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างครับ คือไอ้คะแนน TOEIC เนี่ย เอาจริงๆ มันก็เหมือนเป็นแค่ “ใบเบิกทาง” ด่านแรกเท่านั้นเอง บริษัทส่วนใหญ่เค้าใช้มันสกรีนคนเบื้องต้นเฉยๆ ว่าเออ อย่างน้อยคนนี้ก็มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับหนึ่งนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์ทุกคนที่มายื่นใบสมัคร
เหมือนกับที่ทำงานเก่าผมเลยครับ ตอนนั้นผมได้เข้าไปทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง (หลังจากได้คะแนน TOEIC ที่น่าพอใจแล้วนะ ฮ่าๆ) แผนกบุคคลเค้าก็เคยหลุดปากมาว่า เวลาคนสมัครเยอะๆ ดูโปรไฟล์คล้ายๆ กัน เค้าก็เอาคะแนน TOEIC มาเป็นตัวช่วยตัดช้อยส์แรกๆ ก่อนเลย ใครคะแนนถึงเกณฑ์ก็เรียกมาคุย ใครไม่ถึงก็อาจจะเก็บไว้พิจารณาทีหลังถ้าหาคนไม่ได้จริงๆ
มันก็เลยทำให้ผมเข้าใจว่า อ๋อ ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่ใช่ว่าบริษัทเค้าไม่ให้ความสำคัญกับทักษะอื่นนะ แต่ TOEIC มันเป็นอะไรที่วัดผลง่าย เห็นเป็นตัวเลขชัดเจน สะดวกต่อการคัดกรองในเบื้องต้นเฉยๆ

บทสรุปจากประสบการณ์ตรง
สุดท้าย ผมก็ไปสอบรอบสอง แล้วก็ได้คะแนนตามที่ตั้งใจไว้ครับ ก็เอาไปยื่นสมัครงานได้หลายที่มากขึ้น มีโอกาสได้เรียกสัมภาษณ์มากขึ้นจริงๆ
เลยอยากจะบอกเพื่อนๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบ TOEIC หรือกำลังท้อแท้อยู่นะครับว่า อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปซะก่อน คะแนน TOEIC มันอาจจะไม่ได้วัดความสามารถทั้งหมดของเรา แต่มันก็เป็นประตูบานสำคัญ ที่จะเปิดโอกาสดีๆ ให้เราได้เหมือนกัน ถ้าเราเตรียมตัวดี ฝึกฝนสม่ำเสมอ ยังไงก็ทำได้แน่นอนครับ
- เข้าใจรูปแบบข้อสอบ: รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง (อาจจะเวอร์ไปนิด แต่ก็สำคัญ)
- ฝึกทำข้อสอบเก่าเยอะๆ: อันนี้ช่วยได้จริง ทำให้ชินกับเวลาและความเร็ว
- หาเทคนิคเฉพาะตัว: บางคนถนัดทำส่วน Reading ก่อน บางคนถนัด Listening ลองหาดูว่าแบบไหนเหมาะกับเรา
- อย่ากดดันตัวเองเกินไป: ทำเท่าที่ได้ พักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพจิตก็สำคัญ
สู้ๆ นะครับทุกคน ผมเป็นกำลังใจให้! หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ