ทำไมถึงต้องมาเจอ GMAT เนี่ย
เล่าให้ฟังเลยนะ ตอนนั้นคือไฟแรง อยากไปเรียนต่อโทเมืองนอกมากๆ พวก MBA อะไรเงี้ย เพื่อนมันก็ยุยงส่งเสริม บอกว่าโปรไฟล์ดี แต่ติดอยู่อย่างเดียว… ต้องมีคะแนน GMAT
ตอนแรกก็งงๆ GMAT คือไรวะ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยในชีวิตนี้ นึกว่าแค่สอบภาษาอังกฤษทั่วไปก็พอแล้วมั้ง ที่ไหนได้!

พอรู้ว่า GMAT คืออะไรเท่านั้นแหละ… แทบอยากเปลี่ยนใจ
พอเริ่มไปขุดคุ้ยหาข้อมูลดูนะ โอ้โห… สิ่งที่เจอมันไม่ใช่เล่นๆ เลย มันคือข้อสอบวัดกึ๋นสำหรับคนจะไปเรียนพวกบริหารโดยเฉพาะ เนื้อหามันแบบ…
- Quantitative Reasoning (Quant): เลขนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เลขเด็กๆ นะ มันเป็นเลขที่ต้องคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา บางทีก็เจอโจทย์ที่แบบ… นี่มันปัญหาเชาว์หรือเปล่าเนี่ย! ตอนแรกนึกว่าหมูๆ เพราะเราก็เรียนสายวิทย์มา ที่ไหนได้ ลืมไปเกือบหมดแล้วจ้า ต้องรื้อฟื้นกันยกใหญ่
- Verbal Reasoning (Verbal): อันนี้ตัวปวดหัวของจริงสำหรับคนไทยอย่างเราๆ เลย มันไม่ใช่แค่อ่านภาษาอังกฤษออกนะ มันต้องวิเคราะห์โครงสร้างประโยค ตีความหมาย หาจุดบกพร่องของเหตุผล โอ๊ยยยย เจอ Reading Comprehension เข้าไปที อ่าน passage ยาวเป็นหน้า ศัพท์ก็ยาก แล้วคำถามก็กวนประสาทสุดๆ
- Integrated Reasoning (IR): อันนี้มาใหม่หน่อย เป็นพาร์ทผสมผสาน มีทั้งตาราง กราฟ ข้อมูลต่างๆ ให้เรามาวิเคราะห์แล้วตอบคำถาม ดูเหมือนจะง่ายนะ แต่เวลาน้อยมาก ต้องคิดเร็วทำเร็วตาลีตาเหลือกเลย
- Analytical Writing Assessment (AWA): เขียน essay วิเคราะห์ argument อันนี้ก็ต้องฝึกพอสมควรเลยล่ะ ต้องมีโครงสร้างการเขียนที่ดี มีเหตุผลสนับสนุนที่แข็งแรง
เห็นแค่นี้ก็ท้อแล้วนะเอาจริง อยากจะพับโครงการเก็บไปเลย แต่แบบ… ไหนๆ ก็ตั้งใจแล้ว ก็ต้องลองดูสักตั้งวะ!
ช่วงเวลาแห่งการทรมานตัวเอง… เอ๊ย! เตรียมตัวสอบ
บอกเลยว่าช่วงเตรียมตัวนี่คือที่สุดของความอดทน ตอนแรกก็ลองงมๆ อ่านเองจากหนังสือที่เขาว่าดีนักดีหนา อ่านไปได้สองวัน… อยากจะร้องไห้ ไม่เข้าใจอะไรเลยโว้ยยย!
สุดท้ายก็ต้องยอมเสียเงินไปลงคอร์สติวบ้าง ให้เขาสรุปเนื้อหาให้ สอนเทคนิคต่างๆ มันก็ช่วยได้เยอะนะ ทำให้พอจับทางได้ว่าต้องอ่านตรงไหน เน้นอะไร แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็อยู่ที่ตัวเองล้วนๆ เลยว่าขยันฝึกทำโจทย์แค่ไหน
ชีวิตช่วงนั้นคือวนลูป ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือ ทำโจทย์ กินข้าว ทำโจทย์ต่อ ง่วงก็นอน ตื่นมาก็ทำอีก บางวันเครียดจนนอนไม่หลับก็มีนะ แบบ… กลัวทำไม่ได้ กลัวเสียเวลา กลัวเสียเงินฟรี สารพัดจะกลัว
สิ่งที่ค้นพบระหว่างทาง (แบบเจ็บๆ):
- เวลาเป็นสิ่งมีค่ามาก โดยเฉพาะในห้องสอบ บริหารเวลาไม่ดีคือจบเห่เลย
- ไอ้ที่คิดว่าตัวเองเก่งเลขแล้ว พอมาเจอโจทย์ GMAT บางข้อก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน มันวัดตรรกะเยอะมาก
- Verbal นี่ต้องฝึกเยอะจริงๆ ฝึกอ่านให้เร็ว ฝึกจับใจความ ฝึกดูโครงสร้างประโยค
- อย่าทิ้งพาร์ทไหนเด็ดขาด เพราะทุกพาร์ทมันก็มีผลกับคะแนนรวมทั้งนั้น
วันตัดสินชะตา… วันไปสอบจริง
พอถึงวันสอบนะ ตื่นเต้นมากกกก ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ไปถึงศูนย์สอบก็มีแต่คนหน้าตาเคร่งเครียดเหมือนกันหมด บรรยากาศมันชวนให้กดดันจริงๆ
ตอนทำข้อสอบนี่คือแบบ… สมองเบลอไปหมด พยายามดึงสติ พยายามทำตามที่ซ้อมมา แต่บางข้อก็ติดแหง็ก คิดไม่ออกจริงๆ ก็ต้องเดาแล้วไปต่อ เพราะเวลามันเดินเร็วมากกกก
ออกจากห้องสอบมานี่คือโล่งแบบบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือมันจบแล้วโว้ยยยยย!

ผลลัพธ์ที่ได้ กับสิ่งที่เรียนรู้
พอผลคะแนนออก… ก็ตามสภาพ ไม่ได้ดีเลิศเลอเพอร์เฟค แต่ก็ไม่ได้แย่จนรับไม่ได้ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอจะเอาไปยื่นสมัครได้อยู่ (แอบดีใจน้ำตาซึมเบาๆ)
สรุปแล้ว การสอบ GMAT เนี่ย มันไม่ใช่แค่การวัดความรู้ทางวิชาการนะ แต่มันวัดความอดทน ความมุ่งมั่น วินัยในตัวเองสุดๆ เลย มันสอนให้เรารู้จักวางแผน จัดการเวลา และที่สำคัญคือสอนให้รู้ว่าถ้าเราตั้งใจจริง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอก (ถึงแม้มันจะยากบรรลัยก็เถอะ!)
ใครที่กำลังจะสอบ GMAT ก็สู้ๆ นะครับ มันอาจจะดูน่ากลัว แต่ถ้าเตรียมตัวดีๆ มีวินัย ยังไงก็ผ่านไปได้แน่นอน เป็นกำลังใจให้!