หลายคนถามผมบ่อยมากว่า เฮ้ย สอน GMAT เนี่ย มันเริ่มจากตรงไหนวะ? เอาจริงๆ นะ ตอนแรกๆ เลยนะ ผมก็คิดเหมือนคนอื่นทั่วไปแหละ คิดว่ามันก็คงเหมือนสอบเข้ามหาลัยบ้านเราทั่วไป อ่านๆ ท่องๆ สูตรไปก็น่าจะรอด
แต่พอเอาเข้าจริงนะ โอ้โห คนละเรื่องเลย GMAT มันไม่ใช่แค่จำ มันคือการคิดวิเคราะห์ล้วนๆ ผมนี่ลองผิดลองถูกมาเยอะมากตอนเตรียมตัวสอบเอง กว่าจะจับทางได้ว่าไอ้เจ้าข้อสอบตัวนี้มันต้องการอะไรจากเรากันแน่
ช่วงเริ่มต้นของการคลำทาง
ผมเริ่มจากรื้อพื้นฐานตัวเองใหม่หมดเลย โดยเฉพาะส่วน Verbal กับ Quant ตอนนั้นคือซื้อหนังสือมาเป็นตั้งๆ ลองทำโจทย์จากหลายๆ แหล่ง ทั้ง Official Guide ที่เขาว่าแน่ๆ หรือพวกหนังสือเตรียมสอบยี่ห้อดังๆ ก็จัดมาหมด
ส่วน Verbal เนี่ย ผมไปนั่งไล่ดูเลยว่า ไอ้ Critical Reasoning (CR) มันต้องการอะไรจากเรากันแน่ ไม่ใช่แค่แปลออกแล้วตอบได้นะ มันมีตรรกะของมันอยู่ ผมลองผิดลองถูกเยอะมาก ทำโจทย์เก่าๆ เป็นตั้งๆ จดโน้ตว่าทำไมข้อนี้ถึงถูก ข้อนี้ถึงผิด แล้วก็พยายามหากลุ่มของคำถามที่มันออกมาคล้ายๆ กัน
แล้วก็ Sentence Correction (SC) นี่ตัวปวดหัวเลย แรกๆ ก็งงแกรมม่ามันเยอะแยะไปหมด แต่พอจับทางได้ว่ามันมีกฎหลักๆ ไม่กี่อย่างที่ออกสอบบ่อยๆ ก็เริ่มสบายขึ้น ผมลิสต์เลยว่ากฎไหนเจอบ่อย ข้อยกเว้นมีอะไรบ้าง ทำเป็นเหมือนเช็คลิสต์ส่วนตัวเลย
Reading Comprehension (RC) ก็เน้นจับใจความหลัก ฝึกอ่านเร็วๆ แล้วก็ดูว่าคำถามมันถามตรงไหน ส่วนใหญ่ผมจะอ่านคำถามคร่าวๆ ก่อน แล้วค่อยไปสแกนหาในเนื้อเรื่อง มันช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะเหมือนกัน
ส่วน Quant อันนี้เหมือนจะง่ายนะสำหรับคนไทย เพราะพื้นฐานคณิตเราค่อนข้างดี แต่ GMAT มันมีลูกเล่นของมัน พวก Data Sufficiency (DS) นี่แหละตัวดีเลย มันไม่ได้ให้เราหาคำตอบ แต่มันถามว่าข้อมูลพอไหม ผมต้องปรับความคิดใหม่หมดเลย จากที่เคยแก้สมการหาคำตอบ กลายเป็นต้องมานั่งวิเคราะห์ว่าไอ้ข้อมูลที่ให้มาเนี่ย มันพอจะฟันธงได้รึเปล่า ส่วนนี้ผมฝึกหนักมาก ทำโจทย์ซ้ำๆ จนเข้าใจคอนเซ็ปต์มันจริงๆ
พวก Problem Solving (PS) ก็เน้นความแม่นยำกับความเร็ว พยายามหาทางลัดบ้างถ้าทำได้ แต่ต้องมั่นใจว่าทางลัดนั้นถูกจริงๆ นะ ไม่ใช่เดาสุ่ม
สิ่งที่ค้นพบจากการลงมือทำจริงจัง
หลักๆ เลยนะที่ผมค้นพบคือ GMAT มันวัด ‘กระบวนการคิด’ มากกว่า ‘ความรู้’ มันไม่ได้อยากรู้ว่าคุณจำสูตรได้เยอะแค่ไหน แต่มันอยากรู้ว่าคุณเอาความรู้พื้นฐานที่มี มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งแค่ไหน แล้วก็เรื่องการบริหารเวลานี่สำคัญมากๆ เพราะข้อสอบมันให้เวลาน้อย ต้องทำให้ทัน
ผมใช้เวลาอยู่กับการทำความเข้าใจรูปแบบคำถามแต่ละแบบเยอะมาก ลองจับเวลาทำข้อสอบจริงจังหลายๆ ชุด แล้วก็มานั่งวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของตัวเอง ว่าพลาดเพราะอะไร เพราะไม่รู้เรื่องนั้นจริงๆ หรือเพราะรีบร้อน หรือเพราะโดนโจทย์หลอก
แล้วพอผมจะสอนคนอื่น ผมก็เอาประสบการณ์ตรงนี้แหละมาใช้
ผมไม่ได้เริ่มจากการอัดทฤษฎี หรือโยนสูตรให้ท่องจำ แต่ผมจะพยายามทำความเข้าใจก่อนว่าคนที่มาเรียนกับผมเนี่ย เขามีพื้นฐานแค่ไหน ติดปัญหาตรงไหนเป็นพิเศษ แล้วค่อยๆ ปรับวิธีการสอนให้เข้ากับแต่ละคน
- เริ่มจากปรับ Mindset ก่อนเลย: ผมจะบอกทุกคนว่าอย่าไปกลัวมัน GMAT ไม่ใช่ข้อสอบวัดไอคิว แต่มันคือการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็ทำได้
- ปูพื้นฐานให้แน่น: โดยเฉพาะแกรมม่า SC กับหลักการคิด CR และ DS อันนี้สำคัญมาก ถ้าพื้นฐานตรงนี้ไม่แน่น ไปทำโจทย์ยากๆ ก็จะงง แล้วก็ท้อไปซะก่อน
- ตะลุยโจทย์: พอพื้นฐานเริ่มได้แล้ว ก็เริ่มพาทำโจทย์เลย แต่ไม่ใช่ทำแล้วทิ้งนะ ต้องมานั่งวิเคราะห์ว่าผิดตรงไหน ทำไมถึงผิด แล้วข้อที่ถูกมันถูกเพราะอะไร ผมจะเน้นให้เข้าใจเหตุผล มากกว่าจำคำตอบ
- จับเวลา: อันนี้โคตรสำคัญ เพราะในสนามจริงเวลามันบีบมาก ต้องฝึกบริหารเวลาให้เป็น ผมจะให้ลองทำโจทย์แบบจับเวลาจริงจังเลย จะได้ชิน
- เรียนรู้จากข้อผิดพลาด: ทุกครั้งที่ทำผิดคือโอกาสในการเรียนรู้ อย่าท้อ ผมจะคอยให้กำลังใจ แล้วก็ช่วยชี้จุดที่ต้องแก้ไข
ผมจะเน้นให้ผู้เรียน ‘คิด’ ตามไปด้วย ไม่ใช่แค่ฟังผมพูดอย่างเดียว ผมอาจจะถามคำถามชี้นำ ให้เขาพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง มันจะทำให้เขาจำได้ดีกว่า แล้วก็เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า
สุดท้ายแล้วนะ การสอน GMAT ของผมมันก็คือการแชร์ประสบการณ์การ ‘แก้โจทย์’ ของตัวเองนี่แหละ ทำให้เห็นว่ามันไม่ได้ยากเกินไปถ้าเราเข้าใจ ‘แก่น’ ของมันจริงๆ แล้วก็ต้องขยันฝึกฝนอย่างถูกวิธีด้วยนะ อันนี้สำคัญสุดๆ
หวังว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังเตรียมตัวสอบ GMAT อยู่นะครับ สู้ๆ!