เส้นทางพิชิต GMAT ของผม: เรื่องจริงไม่อิงนิยาย
สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับไอ้เจ้า GMAT เนี่ย ตอนตัดสินใจว่าจะสอบเอาจริงเอาจังนี่ก็คิดหนักอยู่เหมือนกันนะ เพราะรู้มาว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ
เริ่มต้นจากศูนย์ (หรือเกือบๆ นั้น)

ตอนแรกเลยนะ บอกตรงๆ ว่างงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี สิ่งแรกที่ทำก็คือเดินดุ่มๆ ไปร้านหนังสือ ไปสอยไอ้เจ้าเล่ม Official Guide (OG) มาก่อนเลย โอ้โห! เห็นความหนาแล้วท้อแท้ไปสามวิ หนาอย่างกับอะไรดี แต่ก็เอาวะ! สู้โว้ย!
ลงสนามซ้อมจริงจัง
ผมก็เริ่มจัดตารางอ่านหนังสือเลยครับ พยายามจะแบ่งเวลาให้ได้ แบบว่าตอนเช้าๆ สมองยังโล่งๆ ก็จะเอาไว้ลุยส่วน Quantitative (เลข) เพราะต้องใช้สมาธิเยอะหน่อย ส่วนตอนเย็นๆ หรือค่ำๆ ก็เก็บ Verbal (ภาษา) ไปเรื่อยๆ
- Quantitative: ส่วนตัวผมว่าพาร์ทเลขนี่พอถูๆ ไถๆ ไปได้นะ อาศัยรื้อฟื้นความรู้เก่าสมัยมัธยมบวกกับทำโจทย์เยอะๆ ก็เริ่มจับทางได้ว่ามันชอบออกแนวไหนบ้าง
- Verbal: แต่! แต่! แต่! ไอ้เจ้าพาร์ท Verbal นี่สิครับคุณผู้ชม… โดยเฉพาะ Sentence Correction (SC) นี่มันอะไรกันครับเนี่ย! ปวดเศียรเวียนเกล้าสุดๆ แกรมมาร์ยุบยั่บเต็มไปหมด อ่านเฉลยบางทียังงงว่าทำไมต้องตอบข้อนี้วะ ฮ่าๆๆ ยอมรับเลยว่าท้อกับมันหลายรอบมาก
จุดเปลี่ยนที่ไม่ได้คาดฝัน
มีอยู่ช่วงนึงครับที่ผมรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ กับ SC ทำโจทย์กี่ทีก็ผิดเป็นเบือ อ่านหนังสือแกรมมาร์เล่มไหนก็เหมือนจะไม่เข้าหัว คิดในใจว่าหรือเราจะไม่เหมาะกับทางนี้วะ เกือบจะยกธงขาวแล้วจริงๆ นะ
วันนั้นจำได้เลย นั่งทำโจทย์ SC อยู่ในร้านกาแฟ ทำไปก็หน้ามุ่ยไป ผิดอีกแล้ว! ผิดอีกแล้ว! จนแบบอยากจะปาเมาส์ทิ้ง บังเอิญเงยหน้าไปเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาลัยคนนึง ไม่ได้เจอกันนานมากกกกก มันเดินมาทัก ผมก็เลยปรับทุกข์เรื่อง GMAT ให้มันฟัง ปรากฏว่ามันเพิ่งไปสอบมาเหมือนกัน! แล้วคะแนนก็ดีซะด้วย
ผมก็ถามมันเลยว่า “เฮ้ย! มึงทำยังไงวะ สอนกูบ้างดิ๊ โดยเฉพาะไอ้ SC เนี่ย กูจะตายแล้ว” มันก็หัวเราะ แล้วก็เล่าให้ฟังว่าตอนแรกมันก็มั่วๆ เหมือนกัน ไปลงคอร์สเรียนพิเศษมาบ้าง แต่สิ่งที่มันรู้สึกว่าช่วยมันได้จริงๆ ไม่ใช่แค่การเรียนตามตำราอย่างเดียว มันบอกว่า “มึงต้องลองคิดแบบคนออกข้อสอบดูว่ะ”
ผมก็ทำหน้างงๆ “ยังไงวะ?”
มันอธิบายต่อ “คือแทนที่เราจะมานั่งท่องแกรมมาร์เป็นนกแก้วนกขุนทองอย่างเดียวอ่ะ ให้มึงลองดูว่า GMAT มันอยากจะทดสอบอะไรเราในแต่ละข้อ มันพยายามจะหลอกเราตรงไหน มันมีแพทเทิร์นของมันนะเว้ย เช่น พวก Subject-Verb Agreement, Parallelism, Modifier Placement อะไรพวกเนี้ย มันจะวนๆ อยู่ไม่กี่อย่างหรอก แต่จะพลิกแพลงไปเรื่อยๆ” พอได้ยินแบบนั้นนะ เหมือนมีคนมาเปิดไฟในห้องมืดเลยครับ!

จากท้อแท้สู่ความเข้าใจ
หลังจากวันนั้น ผมเลยลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมดเลย เวลาทำโจทย์ SC ผมจะพยายามมองหา “กับดัก” ที่ข้อสอบวางไว้ พยายามดูว่าประโยคนี้มันผิดหลักแกรมมาร์ตรงไหนที่ GMAT ชอบเล่น เช่น ประธานกับกริยาสอดคล้องกันไหม โครงสร้างประโยคขนานกันหรือเปล่า คำขยายมันวางถูกที่ไหม ปรากฏว่าเห้ย! มันเริ่มสนุกขึ้นมาเฉยเลย จากที่เคยเกลียด SC เข้าไส้ กลายเป็นว่าเออ… มันก็ท้าทายดีเหมือนกันนะ เหมือนเล่นเกมจับผิดหาจุดบกพร่องของประโยค
ลุยต่อจนถึงวันสอบ
พอจับทางได้แล้ว ก็เหมือนมีกำลังใจขึ้นเยอะครับ ผมก็ลุยทำโจทย์ต่อเลย ทั้งใน OG ทั้งข้อสอบเก่าๆ ที่หามาได้ พยายามจับเวลาทำข้อสอบจริงจังมากขึ้น เพื่อให้ชินกับแรงกดดันในห้องสอบ
พอถึงวันสอบจริง ตื่นเต้นไหม? บอกเลยว่ามาก! แต่ก็พยายามคุมสติ ทำไปทีละข้อๆ ส่วนไหนยากก็ข้ามไปก่อนแล้วค่อยกลับมาทำ พยายามบริหารเวลาให้ดีที่สุด
บทสรุปและสิ่งที่ได้เรียนรู้
ผลสอบออกมาก็ถือว่าน่าพอใจสำหรับตัวผมเองนะครับ อาจจะไม่ได้เพอร์เฟคอะไรมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคะแนนสำหรับผมก็คือประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ระหว่างทาง มันไม่ใช่แค่ความรู้ทางวิชาการเพื่อเอาไปสอบอย่างเดียว แต่มันคือการฝึกฝนวินัย การวางแผน การจัดการกับความเครียดและความท้อแท้ของตัวเอง ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเยอะเลยครับ
สำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวสอบ GMAT อยู่ หรือกำลังคิดจะสอบ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ มันอาจจะเหนื่อย อาจจะท้อบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราตั้งใจจริงและพยายามอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอน สู้ๆ ครับ!