คนชอบถามผมเยอะแยะเลยครับ ว่าไอ้เจ้า GMAT เนี่ยมันไปยังไงมายังไง เรียนกันแบบไหนถึงจะรอดกันแน่
ตอนแรกสุดเลยนะ ผมก็คิดแบบคนส่วนใหญ่นั่นแหละ ว่าเออ ภาษาอังกฤษเราก็พอถูไถได้อยู่ เลขก็น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยง คงไม่ยากเกินแรงหรอกมั้ง ชิลๆ สบายๆ กะว่าแป๊บเดียวจบ
แต่พอได้ลองไปแตะของจริงเท่านั้นแหละครับคุณเอ๊ย… มันคนละเรื่องกับที่คิดไว้เลย! มันไม่ใช่แค่ว่าท่องศัพท์เก่ง หรือแก้สมการคล่องแล้วจะเอาตัวรอดได้ง่ายๆ นะครับ
ผมเริ่มจากการไปกว้านซื้อหนังสือมาครับ กองเต็มโต๊ะไปหมด ทั้งเล่มหนาเป็นอิฐ เล่มบางๆ ที่เค้ารีวิวกันว่าดีนักดีหนา ผมจัดมาหมดเกลี้ยง อะไรที่ว่าแน่ๆ ก็ลองเอามาดูให้รู้กันไป
เท่านั้นยังไม่พอ ไปลงคอร์สเรียนออนไลน์อีกนะ เสียเงินไปก็ไม่ใช่น้อยเลย หวังว่ามันจะมีทางลัดให้เราบ้าง หรือมีสูตรลับอะไรทำนองนั้น แต่เชื่อมั้ยครับ… สุดท้ายก็ไม่มีทางลัดอะไรทั้งนั้นแหละ
ช่วงแรกๆ นี่ผมจมอยู่กับกองโจทย์เลยครับ ทำแล้วทำอีก ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะผิดมากกว่าถูกนะ ฮ่าๆ โดยเฉพาะไอ้พาร์ท Verbal นี่ตัวดีเลยครับ Sentence Correction นี่ยิ่งกว่าเรียนภาษาใหม่ซะอีก ส่วน Quant ไอ้ Data Sufficiency นั่นก็เล่นเอาผมมึนตึ้บไปหลายวัน
มีอยู่ช่วงนึงนะ ผมท้อแบบสุดๆ เลยครับ ทำโจทย์ยังไงก็ผิดซ้ำซาก อ่านเฉลยเป็นสิบรอบก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกเหมือนตัวเองนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
จำได้แม่นเลย มีวันนึงผมนั่งทำข้อสอบ Verbal ชุดเก่าๆ ผลออกมาคือผิดเกินครึ่ง! ตอนนั้นคือแบบ… อยากจะปาหนังสือทิ้งให้หมด แล้วก็เลิกแม่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ ครับ
แล้วไหนจะงานประจำที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่เบาๆ นะครับ กลับถึงบ้านก็ต้องมาถ่างตาอ่านหนังสือต่อ สมองมันล้า มันเบลอไปหมด บางทีอ่านโจทย์ข้อเดียววนไปวนมาสามสี่รอบก็ยังไม่เข้าหัวเลย คิดจะยอมแพ้ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว บอกกับตัวเองว่า “หรือเรามันไม่เก่งพอวะ ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่ามั้ง”
แต่ก็นั่นแหละครับ พอคนเรามันท้อจนถึงที่สุดแล้ว มันก็เหมือนไม่มีอะไรจะเสียแล้วไง มันก็ต้องลองดูอีกสักตั้ง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนวิธีใหม่หมดเลยครับ เลิกตะบี้ตะบันทำโจทย์แบบเอาเป็นเอาตาย แต่หันกลับไปปูพื้นฐานใหม่หมดจริงๆ จังๆ ทีละบท ทีละเรื่อง ค่อยๆ ทำความเข้าใจมัน
ตรงไหนที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่ฝืนครับ ไปหาคลิปในเน็ตดูบ้าง ถามเพื่อนที่เคยสอบบ้าง หรือบางทีก็พักไปเลย ไม่ใช่เน้นปริมาณอย่างเดียวแล้ว แต่เน้นที่คุณภาพและความเข้าใจจริงๆ

แล้วผมก็เริ่มจับจุดได้ว่า GMAT เนี่ย มันไม่ได้วัดว่าเรารู้เยอะแค่ไหน แต่มันวัดว่าเราสามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีแค่ไหนต่างหาก โดยเฉพาะภายใต้แรงกดดันของเวลาที่จำกัดมากๆ
สุดท้าย คะแนนที่ออกมามันก็อยู่ในระดับที่ผมพอใจนะ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากว่าตัวเลขคะแนนมากๆ เลยก็คือ วินัย ที่ได้จากการที่ต้องบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ ทำโจทย์สม่ำเสมอทุกวัน และ ความอึด ครับพี่น้อง การที่เราไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เนี่ย มันเป็นอะไรที่โคตรจะสำคัญเลยนะในชีวิตจริง
ผมว่า GMAT มันไม่ใช่แค่ข้อสอบเพื่อเอาไปยื่นเข้า MBA อย่างเดียวนะ แต่มันคือบททดสอบการจัดการตัวเอง การแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล และความอดทนชั้นยอดเลยล่ะครับ ใครที่กำลังเตรียมตัวอยู่ก็อยากจะบอกว่าสู้ๆ นะครับ อย่าเพิ่งถอดใจไปซะก่อนล่ะ มันมีทางของมันอยู่เสมอแหละ แค่เราต้องพยายามหามันให้เจอ