สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับไอ้เจ้า GMAT เนี่ยแหละครับ ใครที่กำลังคิดจะไปเรียนต่อโทบริหารธุรกิจ หรืออะไรทำนองนั้น คงหนีไม่พ้นมันแน่นอน
เรื่องของเรื่องคือ อยู่ดีๆ ก็เกิดอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศกับเขาบ้าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนนั้นเหมือนกัน ฮ่าๆๆ พอนึกถึงเรื่องเรียนต่อปุ๊บ ไอ้ชื่อ GMAT นี่มันก็ลอยมาเลยครับ เป็นด่านแรกที่ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ตอนนั้นก็เริ่มหาข้อมูลเลยครับว่ามันคืออะไร สอบอะไรบ้าง

พอเริ่มศึกษาเท่านั้นแหละครับ โอ้โห! อะไรมันจะเยอะแยะวุ่นวายขนาดนั้น ทั้ง Verbal ที่มีทั้งแกรมม่า อ่านจับใจความ ตรรกะบ้าบออะไรไม่รู้เต็มไปหมด แล้วก็มี Quant ที่เป็นเลข ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ได้ยากเกิน ม.ปลาย หรอก แต่โจทย์มันพลิกแพลงสุดๆ แล้วยังมี Integrated Reasoning (IR) กับ Analytical Writing Assessment (AWA) อีก โอ๊ย ปวดหัว! เหมือนจับทุกอย่างมายำรวมกันในหม้อเดียวเลยครับ
ผมก็เริ่มจากการไปกว้านซื้อหนังสือมาเลยครับ ใครว่าเล่มไหนดี จัดมาหมด กองเต็มห้องไปหมด ตั้งใจว่าจะอ่านให้ครบทุกเล่ม ปรากฏว่าเปิดไปได้ไม่กี่หน้าก็เริ่มท้อแล้วครับ มันเยอะเกิ๊น! แล้วแต่ละเล่มก็สไตล์ไม่เหมือนกัน บางเล่มเน้นทฤษฎีจ๋า บางเล่มเน้นโจทย์ตะลุยแหลก อ่านไปอ่านมาเริ่มสับสนว่าจะเชื่อใครดี
ลองไปลงคอร์สติวด้วยนะ คิดว่าจะมีคนช่วยนำทางสว่างให้ ปรากฏว่าบางทีเขาก็สอนเร็วปรื๊ดดด ตามแทบไม่ทัน บางคอร์สก็เน้นแต่สูตรลัด เทคนิคอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด คือถ้าพื้นฐานเราไม่แน่นจริง เอาไปใช้ก็งงอยู่ดี เหมือนท่องจำไปสอบ ไม่ได้เข้าใจมันจริงๆ
ช่วงนั้นที่บ้านก็เริ่มถามๆ แล้วครับว่าตกลงจะเอายังไงเรื่องเรียนต่อ เจอญาติทีไรก็โดนยิงคำถาม “เมื่อไหร่จะไปเรียนต่อซะทีล่ะ อายุเท่านี้แล้วนะ” อื้อหือ ฟังแล้วอยากจะแทรกแผ่นดินหนี บางทีก็แอบคิดนะว่าเรียนไปทำไมวะ อยู่เมืองไทยสบายๆ ก็ได้ แต่ในใจลึกๆ มันก็มีความฝันเล็กๆ ของตัวเองอยู่นั่นแหละครับ ที่อยากจะไปเห็นโลกกว้างๆ กับเขาบ้าง ไอ้ GMAT นี่ก็เลยกลายเป็นเหมือนประตูด่านสำคัญที่ต้องพังมันเข้าไปให้ได้ ไม่งั้นคงโดนแซวไม่เลิกแน่ๆ
แล้วไอ้ช่วงที่อ่านหนังสือ GMAT หนักๆ นะครับ มีอยู่วันนึง ทะเลาะกับที่บ้านเรื่องนี้แหละครับ คือมันเครียดจากข้อสอบไม่พอ ยังต้องมาเจอแรงกดดันจากคนรอบข้างอีก โอ้โห วันนั้นผมนั่งทำโจทย์เลขอยู่ดีๆ น้ำตามันไหลออกมาเองเฉยเลยครับ ไม่ได้เศร้าเพราะทำโจทย์ไม่ได้นะ แต่มันรู้สึกอัดอั้นตันใจไปหมดทุกอย่างเลย ฮ่าๆๆ (หัวเราะแบบแห้งๆ) แฟนผมเดินมาเห็น ตกใจใหญ่ นึกว่าผมเป็นอะไรมาก ผมก็บอกไปว่า “กูแค่โง่เลขโว้ย!” เขาก็ได้แต่ปลอบใจ บอกว่าค่อยๆ ฝึกไป ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ เออ… ก็จริงของเขานะ
เจาะลึกแต่ละพาร์ทที่ทำเอาปาดเหงื่อ
มาดูแต่ละส่วนที่ผมเจอมากันครับ:
- Sentence Correction (SC): อันนี้คือที่สุดของความแกรมม่าเลยครับ กฎอะไรไม่รู้เยอะแยะยุบยับไปหมด เปิดตำราแกรมม่าหนาเป็นนิ้วก็ยังไม่ครอบคลุมสิ่งที่ GMAT มันจะเล่นเราได้เลยครับ ต้องอาศัยการทำโจทย์เยอะๆ แล้วจับแพทเทิร์นเอา
- Critical Reasoning (CR): ส่วนนี้วัดตรรกะครับ อ่านโจทย์บางทีต้องอ่านวน 2-3 รอบกว่าจะเข้าใจว่ามันต้องการอะไรจากเรา แล้วช้อยส์แต่ละอันก็ดูคล้ายกันไปหมด ทำให้เราลังเลได้ง่ายมาก
- Reading Comprehension (RC): บทความยาวเป็นหน้ากระดาษ อ่านจบปุ๊บ คำถามถามมา อ้าว…เมื่อกี้อ่านอะไรไปนะ ลืม! ต้องฝึกสมาธิในการอ่าน แล้วก็พยายามจับใจความสำคัญให้ได้เร็วที่สุด
- Quantitative (Quant): ถึงแม้จะเป็นเลขระดับ ม.ปลาย แต่โจทย์มันพลิกแพลงมากครับ ชอบมีจุดหลอกเล็กๆ น้อยๆ ให้เราพลาดได้ง่ายๆ ถ้าไม่รอบคอบจริงก็โดนหลอกกินคะแนนไปฟรีๆ
แล้วผมผ่านมันมาได้ยังไง?
สุดท้ายผมก็ต้องกลับมาตั้งสติใหม่ครับ เลิกบ้าตามหนังสือทุกเล่ม หรือคอร์สทุกคอร์สที่เขาว่าดีไปซะหมด ผมเริ่มจากค่อยๆ ทบทวนพื้นฐานจริงๆ จังๆ เลย โดยเฉพาะเลขนี่ไปขุดหนังสือเก่าๆ สมัยเรียนมาปัดฝุ่นอ่านใหม่เลยครับ
ส่วน Verbal ก็เน้นทำโจทย์เยอะๆ จาก Official Guide (OG) นี่แหละครับ สำคัญที่สุดเลย ผมว่านะ โจทย์มันจะวนๆ อยู่ในนั้นแหละ แค่เปลี่ยนตัวเลข เปลี่ยนเนื้อเรื่องนิดหน่อย พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมข้อนี้ถึงถูก ข้อนั้นถึงผิด ไม่ใช่แค่จำคำตอบ
พวกหนังสือที่สอนเทคนิคลัดอะไรต่างๆ ก็มีประโยชน์บ้างครับ แต่ถ้าพื้นฐานเราไม่แน่นพอ เอาไปใช้จริงในสนามสอบอาจจะรวนได้ง่ายๆ เลย ผมว่าการเข้าใจหลักการจริงๆ สำคัญกว่า

อีกอย่างที่สำคัญคือการจับเวลาทำโจทย์ครับ เพราะเวลาสอบจริงมันบีบคั้นมาก ต้องฝึกบริหารเวลาให้ดี ไม่งั้นทำไม่ทันแน่นอน
บทสรุปและสิ่งที่ได้เรียนรู้
ถามว่าคะแนน GMAT ของผมออกมาสวยหรูเลิศเลอเพอร์เฟคไหม ก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่ได้เทพอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ก็เป็นคะแนนที่น่าพอใจในระดับหนึ่งที่มันสามารถพาผมไปถึงฝันที่ตั้งใจไว้ได้
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์การเตรียมตัวสอบ GMAT ครั้งนี้ มันมากกว่าแค่ความรู้ในตำรา หรือคะแนนสอบนะครับ ผมได้เรียนรู้เรื่องความอดทน การวางแผน การจัดการกับความเครียดของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือการได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าเรามีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน และเราสามารถผลักดันตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังเตรียมตัวสอบ GMAT อยู่ หรือกำลังคิดจะสอบ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ มันอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ต้องปีนข้ามไป แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ค่อยๆ เตรียมตัวไปทีละก้าว วางแผนให้ดี ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอนครับ อย่าเพิ่งท้อถอยไปซะก่อนล่ะ!
จำไว้นะครับว่า GMAT มันก็เป็นแค่ข้อสอบด่านหนึ่ง ไม่ได้เป็นตัววัดคุณค่าทั้งหมดในชีวิตของเรา สู้ๆ ครับทุกคน ผ่านมันไปให้ได้ แล้วก็ไปทำตามความฝันของเรากันต่อ!