สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ตรงเลยนะ เรื่องการสอบ GMAT เนี่ย ตอนแรกเลยนะ ผมก็เหมือนหลายๆ คนแหละ ได้ยินชื่อ GMAT ก็งงๆ ว่ามันคืออะไรวะ สอบไปทำไม พอเริ่มศึกษาจริงจัง โอ้โห ถึงบางอ้อเลย มันคือประตูสู่ MBA หรือ ป.โท ต่างประเทศเลยนะ ใครที่ฝันอยากจะไปเรียนต่อนอก โดยเฉพาะสายบริหารธุรกิจเนี่ย แทบจะหนีไม่พ้นเจ้า GMAT นี่เลย
ทีนี้ พอรู้แล้วว่ามันสำคัญยังไง ผมก็เริ่มลงมือเตรียมตัวเลยครับ ขั้นแรกสุดคือ ทำความเข้าใจโครงสร้างข้อสอบ GMAT มันไม่ได้วัดแค่ความรู้ภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์แบบผิวเผินนะ แต่มันวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการใช้เหตุผล ซึ่งหลักๆ มันจะแบ่งออกเป็น

- Quantitative Reasoning (คณิตศาสตร์): อันนี้ก็จะเป็นพวกโจทย์เลขที่เราคุ้นเคยกันมาบ้าง แต่ความยากคือมันไม่ใช่แค่คิดเลขเป็น แต่มันต้องตีโจทย์ให้แตก ต้องมีตรรกะในการแก้ปัญหาด้วย โจทย์บางข้อมันหลอกเก่งมาก
- Verbal Reasoning (ภาษาอังกฤษ): ส่วนนี้แหละครับที่ทำเอาหลายคนน้ำตาตก โดยเฉพาะคนไทยอย่างเราๆ มันจะมีทั้ง Reading Comprehension (อ่านจับใจความ), Critical Reasoning (วิเคราะห์หาเหตุผล), และ Sentence Correction (แก้ไขไวยากรณ์) ซึ่ง SC นี่ตัวดีเลย แกรมม่าต้องเป๊ะจริง
- Integrated Reasoning (IR): ส่วนนี้จะวัดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆ แหล่งพร้อมกัน เช่น กราฟ ตาราง ข้อความ เอามาประมวลผลแล้วตอบคำถาม
- Analytical Writing Assessment (AWA): อันนี้คือการเขียนเรียงความวิเคราะห์บทความที่เค้าให้มา ดูว่าเรามีทักษะการคิดวิเคราะห์และถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้ดีแค่ไหน
พอรู้โครงสร้างแล้ว ผมก็เริ่ม หาแหล่งข้อมูลและ tài liệu ครับ ตอนนั้นผมเริ่มจากหนังสือ Official Guide (OG) เลย เล่มหนาปึ้ก เป็นคัมภีร์ที่คนเตรียมสอบ GMAT ต้องมีติดตัว เพราะมันคือข้อสอบเก่าที่ทางผู้ออกสอบรวบรวมไว้ให้ แล้วก็เริ่มหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ดูรีวิว ดูเทคนิคการทำข้อสอบจากคนที่เคยสอบมาแล้ว
ช่วงเวลาแห่งการตะลุยโจทย์
หลังจากได้ตำรามาแล้ว ก็ถึงเวลา วางแผนการอ่านหนังสือและฝึกทำโจทย์ ครับ ผมแบ่งเวลาเลยว่าวันนึงจะอ่านส่วนไหนบ้าง จะทำโจทย์กี่ข้อ ช่วงแรกๆ นี่ท้อมากครับ โดยเฉพาะส่วน Verbal ทำผิดเยอะมาก อ่านไม่ทันบ้าง ตีความโจทย์ผิดบ้าง ส่วน Quant ก็เจอโจทย์แปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำเอาหัวหมุนไปหลายวัน
ผมเริ่มจากการทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ของแต่ละส่วนก่อน อย่าง Quant ก็ต้องรื้อฟื้นความรู้คณิตศาสตร์ ม.ปลาย กันใหม่หมดเลย พวกพีชคณิต เรขาคณิต สถิติ ความน่าจะเป็น ส่วน Verbal นี่ผมเน้น SC หนักมาก เพราะรู้สึกว่าเป็นส่วนที่ถ้าเข้าใจหลักแกรมม่าแล้วจะเก็บคะแนนได้เยอะ ผมนั่งท่องกฎแกรมม่า ทำแบบฝึกหัด SC ซ้ำๆ จนเริ่มจับทางได้ ส่วน RC กับ CR ก็อาศัยการฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษเยอะๆ แล้วก็ฝึกจับใจความสำคัญ ฝึกคิดตามตรรกะของโจทย์
การทำข้อสอบจำลอง (Mock Test) นี่สำคัญมากครับ ผมเริ่มทำ Mock Test หลังจากที่รู้สึกว่าพอจะเข้าใจเนื้อหาบ้างแล้ว ผลครั้งแรกออกมานี่แทบทรุด คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก แต่มันทำให้เรารู้จุดอ่อนของตัวเองจริงๆ ว่าเราพลาดตรงไหน ไม่แม่นเรื่องอะไร จากนั้นก็เอาผลมาวิเคราะห์ แล้วกลับไปทบทวนจุดที่พลาด แก้ไข แล้วก็ทำข้อสอบซ้ำๆ วนไปครับ ช่วงนี้คือทรมานแต่ก็มันส์ดีนะ เหมือนเรากำลังสู้กับตัวเอง
การฝึกฝนและค้นพบจุดอ่อน
ผมค้นพบว่าจุดอ่อนสำคัญของผมเลยคือ การบริหารเวลา ในห้องสอบจริง เวลามันจำกัดมาก ถ้ามัวแต่ติดอยู่กับข้อเดียวนานๆ ข้ออื่นจะทำไม่ทัน ผมเลยต้องฝึกทำโจทย์แบบจับเวลาจริงจัง พยายามทำให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ข้อไหนทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องหัดข้ามไปก่อน แล้วค่อยกลับมาทำถ้ามีเวลาเหลือ
อีกอย่างที่สำคัญคือ การรักษาสภาพจิตใจ ครับ ช่วงเตรียมสอบมันเครียดมาก กดดันตัวเองสุดๆ บางทีทำโจทย์ไม่ได้ก็หงุดหงิด ท้อแท้ ไม่อยากทำต่อแล้ว ผมก็ต้องพยายามหาทางผ่อนคลายบ้าง ออกไปเดินเล่น คุยกับเพื่อน หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้สมองมันได้พักบ้าง
โค้งสุดท้ายและบทสรุป
พอใกล้สอบจริง ผมก็เน้นทำข้อสอบเก่าๆ ชุดล่าสุด จับเวลาจริง พยายามสร้างบรรยากาศให้เหมือนวันสอบให้มากที่สุด ทบทวนสูตรสำคัญๆ เทคนิคต่างๆ ที่จดไว้ แล้วก็พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ คืนก่อนสอบนี่นอนให้เต็มอิ่มเลยครับ
วันสอบจริงก็พยายามทำใจให้สบายที่สุด ทำตามแผนที่วางไว้ ข้อไหนมั่นใจก็รีบทำ ข้อไหนไม่แน่ใจก็พยายามใช้เทคนิคการตัดตัวเลือกช่วย พอสอบเสร็จนี่โล่งมากครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง อย่างน้อยเราก็ได้ทำเต็มที่แล้ว
สุดท้าย การสอบ GMAT มันไม่ใช่แค่การไปนั่งทำข้อสอบให้ผ่านๆ ไปนะ แต่มันคือการเดินทางที่สอนอะไรเราเยอะมาก ทั้งวินัย ความอดทน การแก้ปัญหาภายใต้แรงกดดัน และที่สำคัญคือมันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ใครที่กำลังเตรียมตัวอยู่ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ มันไม่ง่าย แต่ถ้าตั้งใจจริง วางแผนดีๆ และมีวินัยในการฝึกฝน ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอนครับ สู้ๆ ครับ!
