สวัสดีครับพี่น้อง! วันนี้ผมอยากมาเม้าท์มอยประสบการณ์ตรงที่ได้ไปคลุกคลีตีโมงกับเจ้าข้อสอบ IELTS มา คือจะเล่าแบบบ้านๆ เลยนะ ไม่ต้องมีศัพท์แสงวิชาการอะไรให้ปวดหัว เผื่อใครกำลังเล็งๆ อยู่ หรือกำลังท้อใจ จะได้เห็นภาพว่าเอ้อ มันเป็นประมาณนี้นะ
จุดเริ่มต้นมันมาจากไหน? ทำไมต้อง IELTS ด้วยวะ?
เรื่องของเรื่องคือผมเนี่ยดันมีความฝันอยากจะไปเรียนต่อนอกกับเค้าบ้าง พอเริ่มหาข้อมูลเท่านั้นแหละครับคุณเอ๊ย! ไม่ว่าจะมหาลัยไหน ประเทศอะไร เป็นต้องมีไอ้เจ้าคะแนน IELTS นี่โผล่มาตลอด ตอนแรกก็คิดในใจ “ชิบหายละกู” ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรขนาดนั้น พูดได้แบบถูๆ ไถๆ อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างตามเรื่องตามราว แล้วนี่ต้องไปสอบอะไรจริงจังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ตอนนั้นก็ลังเลอยู่นานนะ จะเอาไงดีวะ จะไหวเหรอ แต่สุดท้ายก็เออ ลองดูซักตั้งวะ! ไม่ลองไม่รู้ ถ้ามันจำเป็นจริงๆ ก็ต้องทำให้ได้สิวะ ก็เลยเป็นที่มาของการผจญภัยครั้งนี้แหละครับ
ลงสนามเตรียมตัว: โอ้โห! มันไม่ง่ายเลยนะพี่น้อง
พอตัดสินใจว่าจะลุยแน่ๆ แล้ว ผมก็เริ่มหาข้อมูลเลยว่าไอ้ข้อสอบบ้านี่มันมีอะไรมั่งวะ สรุปคือมี 4 พาร์ท ฟัง พูด อ่าน เขียน ครบเครื่องเลย ตอนแรกที่เห็นแนวข้อสอบนะ ผมบอกเลยว่าท้อ ข้อมูลก็เยอะแยะไปหมด ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี หนังสือเต็มแผง คอร์สออนไลน์ก็พรึ่บไปหมด ผมมันพวกชอบลองผิดลองถูกด้วยไง ก็เลยค่อยๆ งมไปทีละอย่าง
- การฟัง (Listening): พาร์ทนี้แรกๆ คือฟังไม่ทันเลย พูดอะไรกันก็ไม่รู้เร็วชิบเป๋ง สำเนียงก็มาครบทั้งบริติช ออสซี่ นิวซีแลนด์ ผมก็แก้ด้วยการ “ฟังแหลก” เลยครับ เปิดมันทุกอย่างที่เป็นภาษาอังกฤษ หนัง ซีรีส์ (แบบปิดซับไทยนะ) เพลงสากล พอดแคสต์ ข่าว คือเจออะไรก็ฟังหมด แรกๆ ก็เหมือนเดิม ฟังไม่รู้เรื่อง หลังๆ หูมันเริ่มปรับตัวได้เอง เออ เริ่มจับคำได้ว่ะ เริ่มเข้าใจเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาหน่อย
- การอ่าน (Reading): ไอ้พาร์ทนี้ก็ตัวดีเลย บทความยาวเป็นหน้ากระดาษ ศัพท์ก็ยากชิบหาย อ่านไปสามบรรทัดแรกก็เริ่มเบลอแล้ว ผมก็พยายามอ่านข่าวภาษาอังกฤษทุกวัน บทความสั้นๆ อะไรก็ได้ที่มันเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ที่สำคัญเลยคือตะลุยโจทย์เก่า จับเวลาจริงจัง มันช่วยให้เราชินกับความยาวและรูปแบบคำถามมากๆ
- การเขียน (Writing): นี่แหละครับตัวปัญหาของผมเลย เพราะชีวิตนี้ไม่เคยต้องมานั่งเขียนเรียงความภาษาอังกฤษแบบเป็นทางการอะไรขนาดนั้น Task 1 ที่ต้องอธิบายกราฟนี่ก็ทำเอามึนไปหลายตลบ ส่วน Task 2 ที่ให้เขียนแสดงความคิดเห็นนี่ก็ต้องเค้นไอเดียกันสุดฤทธิ์ ผมอาศัยดูตัวอย่างเยอะๆ ครับ ดูว่าเค้ามีโครงสร้างยังไง ใช้คำเชื่อมแบบไหน แล้วก็ลองหัดเขียนตาม แรกๆ ก็เขียนออกมาได้ทุเรศทุรังมากครับ 555 แต่ก็ต้องอดทนเขียนไปเรื่อยๆ หาคนช่วยตรวจได้จะดีมาก
- การพูด (Speaking): พาร์ทนี้ตอนแรกโคตรเขินเลย ไม่รู้จะพูดอะไร กลัวพูดผิดพูดถูก แต่ก็คิดว่าถ้าไม่กล้าตอนนี้แล้วจะไปกล้าตอนไหน ผมก็ใช้วิธีพูดกับตัวเองหน้ากระจกนี่แหละครับ อัดเสียงตัวเองไว้ฟังด้วย จะได้รู้ว่าเราพูดติดขัดตรงไหน สำเนียงเพี้ยนรึเปล่า แล้วก็พยายามหาเพื่อนหรือใครก็ได้ที่พอจะคุยภาษาอังกฤษด้วยได้ ซ้อมบ่อยๆ มันช่วยลดความประหม่าได้เยอะเลย
วันลงสนามจริง: ตื่นเต้นจนแทบฉี่ราด!
พอถึงวันสอบจริงนะคุณเอ๊ย ตื่นเต้นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว มือไม้เย็นเฉียบไปหมด ในห้องสอบก็เงียบกริ๊บ ได้ยินแต่เสียงปากกาขีดเขียนกับเสียงหายใจตัวเอง ตอนสอบฟังนี่คือตั้งสติสุดชีวิต กลัวพลาดแม้แต่คำเดียว ตอนอ่านก็พยายามคุมเวลาให้ดี กวาดตาอ่านให้เร็วที่สุด ส่วนเขียนนี่ก็พยายามนึกถึงโครงสร้างที่ซ้อมๆ มา แล้วก็ใส่เท่าที่มีในหัวนั่นแหละครับ ส่วนพูดนี่จำได้ว่าตอนแรกเสียงสั่นเลย แต่พอ Examiner เค้าชวนคุยไปเรื่อยๆ ก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย พยายามยิ้มสู้เข้าไว้ 555
หลังพายุสงบ: แล้วมันได้อะไรขึ้นมาบ้าง?
สอบเสร็จนี่คือโล่งแบบสุดๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ก็ต้องมานั่งลุ้นคะแนนต่ออีกนะ ช่วงรอผลนี่คือแบบ… ทรมานใจแท้เหลา พอผลออกมาก็… (จะบอกว่าดีใจก็ได้ จะบอกว่าตามคาดก็ได้ หรือถ้าใครผลไม่ดีก็ถือเป็นประสบการณ์) แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยนะ ไม่ว่าคะแนนมันจะออกมาเป็นยังไง ทักษะภาษาอังกฤษผมมันดีขึ้นจริงๆ จากที่เคยตะกุกตะกัก พูดๆ หยุดๆ มันก็คล่องขึ้น กล้าพูดมากขึ้น อ่านอะไรก็เข้าใจเร็วขึ้นเยอะเลย
อยากจะฝากถึงคนที่กำลังเตรียมตัวหรือคิดจะสอบนะ: คือไอ้ IELTS เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ มันต้องใช้ทั้งแรงกาย แรงใจ ความอดทน ความสม่ำเสมอสูงมาก แต่ถ้าคุณตั้งใจจริง มีเป้าหมายชัดเจน ผมเชื่อว่าคุณทำได้แน่นอน อย่าไปท้อกับมันง่ายๆ หาแนวทางที่มัน “ใช่” สำหรับตัวเอง แล้วก็ลุยไปเลยครับ ผลลัพธ์มันคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน อย่างน้อยๆ คุณก็ได้สกิลภาษาอังกฤษติดตัวไปตลอดชีวิตล่ะวะ!