วันก่อนโน้นเลยครับ นั่งคุยกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันนี่แหละ เรื่องลูกๆ หลานๆ กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยกัน โอ้โห ฟังแล้วปวดหัวแทนเด็กสมัยนี้จริงๆ นะครับ มันมีอะไรให้ต้องเตรียมตัวเยอะแยะไปหมด หนึ่งในนั้นที่ได้ยินบ่อยมากเลยก็คือไอ้เรื่อง คะแนน SAT เนี่ยแหละครับ ตอนแรกผมเองก็งงๆ นะ เอ๊ะ มันคืออะไรวะ สมัยเรามันไม่มีอะไรแบบนี้นี่หว่า
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ และก็แบบว่าอยากจะคุยกับคนอื่นเขารู้เรื่องบ้าง ก็เลยลองไปสืบๆ ค้นๆ ดูหน่อยครับว่าเจ้า SAT เนี่ยมันเป็นยังไงมายังไง ไอ้การ “ปฏิบัติการ” ค้นคว้าของผมก็เริ่มขึ้นง่ายๆ จากการถามคนรอบข้างบ้าง เปิดดูในเน็ตบ้าง ก็พอจะจับใจความได้ประมาณนี้ครับ

แล้วตกลงไอ้เจ้า SAT นี่มันคืออะไรกันแน่?
อ๋อ มันก็คือคะแนนสอบอย่างหนึ่งนี่เองครับ ที่เด็กๆ เขาใช้ยื่นเพื่อจะเข้าไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะพวกหลักสูตรอินเตอร์ฯ ทั้งหลายแหล่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ คือถ้าจะไปสายอินเตอร์ฯ เนี่ย แทบจะหนีไม่พ้นเจ้าคะแนนตัวนี้เลยว่างั้นเถอะ
แล้วที่ผมไปเจอมานะ วิธีที่มหาวิทยาลัยเอาคะแนน SAT ไปใช้นี่ก็น่าสนใจดีครับ มันมีอยู่สองแบบหลักๆ เท่าที่ผมเข้าใจนะ:
-
แบบแรกก็คือ บางมหาวิทยาลัยหรือบางคณะเนี่ย เขาจะกำหนดมาเลยว่าต้องได้คะแนนขั้นต่ำเท่าไหร่ ถ้าเราสอบได้ถึงเกณฑ์นั้น ก็เหมือนผ่านประตูเข้าไปได้เลย สบายใจไปเปลาะหนึ่ง ไม่ต้องไปลุ้นแข่งกับใครอีก
-
แต่อีกแบบนึงนี่สิครับ บางที่ หรืออาจจะเป็นคณะฮิตๆ หน่อย เขาไม่ได้มีแค่เกณฑ์ขั้นต่ำ แต่เขาจะใช้วิธีคัดเลือกจากคนที่ได้คะแนนสูงสุดในบรรดาคนที่ไปสมัครทั้งหมดเลย แบบนี้ก็ต้องไปวัดดวง วัดความเก่งกันอีกที ใครทำคะแนนได้เยอะกว่าก็มีโอกาสมากกว่าว่างั้นเถอะครับ โหดเอาเรื่องเหมือนกันนะ
พอรู้แบบนี้แล้วก็รู้สึกว่า เออ เด็กสมัยนี้มันต้องสู้กันหลายด่านจริงๆ นะครับ สมัยผมนะ สอบเอ็นทรานซ์ (สมัยนั้นเรียกแบบนี้) ครั้งเดียว รู้ผล แพ้ชนะกันไปเลย ไม่ต้องมีอะไรให้วุ่นวายหลายขั้นตอนเท่านี้ แต่ก็นั่นแหละครับ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว การแข่งขันมันก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา
สุดท้ายแล้ว ผมว่าไอ้คะแนน SAT หรือคะแนนอะไรก็ตาม มันก็เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งในการจะเข้าไปเรียนต่อนั่นแหละครับ มันอาจจะเป็นใบเบิกทางที่ดี แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆ แล้วเนี่ย ความขยัน ความตั้งใจ แล้วก็การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อันนั้นน่าจะสำคัญกว่าเยอะเลยครับ ได้คะแนนดีแต่เข้าไปแล้วเรียนไม่ไหว มันก็เท่านั้นแหละเนอะ ว่ามั้ยครับ?