เอาล่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์สอบ SAT ของตัวเองล้วนๆ แบบไม่อิงนิยายนะ ใครกำลังจะสอบหรือคิดจะสอบก็ลองฟังดูเผื่อเป็นแนวทางได้บ้าง
จุดเริ่มต้นมันก็ง่ายๆ เลย อยากเข้ามหาลัยฯ อินเตอร์ไง แล้ว SAT เนี่ยมันเป็นเหมือนใบเบิกทางสำคัญอันนึงเลย ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเยอะแยะหรอก รู้แค่ว่าต้องสอบ ต้องมีคะแนน

เริ่มเตรียมตัวยังไง?
ตอนแรกก็งงๆ นะว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ก็เลยเริ่มจากหาข้อมูลก่อนเลยว่าข้อสอบมันมีอะไรบ้าง หลักๆ ก็มีเลข (Math) กับอังกฤษ (Evidence-Based Reading and Writing) ใช่ไหมล่ะ พอรู้คร่าวๆ แล้วก็เริ่มหาหนังสือมาอ่าน พวกหนังสือเตรียมสอบ SAT ทั่วไปนี่แหละ ลองทำโจทย์ไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ท้อนะ ทำไมมันยากจังวะ แต่ก็กัดฟันทำไป
บางคนอาจจะไปลงคอร์สติว แต่ส่วนตัวผมเลือกอ่านเอง ลองผิดลองถูกเองมากกว่า รู้สึกว่ามันเข้ากับสไตล์ตัวเองมากกว่า แล้วก็ประหยัดตังค์ด้วย ฮ่าๆๆ ที่สำคัญคือต้องมีวินัยกับตัวเองมากๆ ตั้งเป้าเลยว่าวันนึงจะอ่านกี่ชั่วโมง ทำโจทย์กี่ข้อ
อ้อ! เดี๋ยวนี้มันเป็น Digital SAT แล้วนะ ตอนผมสอบมันก็เริ่มๆ เปลี่ยนแล้ว ตอนซ้อมนี่เขามีแอปพลิเคชันให้ลองทำข้อสอบเลยนะ ชื่อ Bluebook มั้งถ้าจำไม่ผิด คือดีมาก มันจำลองเหมือนสอบจริงเลย มีเครื่องมือช่วยคิดเลขในส่วนเลขให้ด้วย ไม่ต้องพกเครื่องคิดเลขไปเองทั้งหมด (แต่ก็มีบางรุ่นที่เอาเข้าได้นะ เช็คดีๆ) ทำให้เราคุ้นเคยกับระบบก่อนไปเจอของจริง
ถึงวันสมัครสอบ
พอเตรียมตัวไปได้สักพัก รู้สึกว่าเออ พอไหวละ ก็ถึงเวลาสมัครสอบ เข้าไปสมัครในเว็บของ College Board นั่นแหละ ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก กรอกข้อมูล เลือกวันสอบ สนามสอบ จ่ายตังค์ จบ! แต่ต้องรีบหน่อยนะ เพราะสนามสอบดีๆ หรือรอบที่คนนิยมมันเต็มเร็ว
วันสอบจริง…ตื่นเต้นไหมล่ะ!
คืนก่อนสอบนี่นอนไม่ค่อยหลับเลย ตื่นเต้นจัด ฮ่าๆ วันสอบก็ตื่นแต่เช้า แต่งตัว… ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าจะใส่ชุดอะไรดีวะ สุดท้ายก็ใส่ชุดนักเรียนไป ง่ายดี บางคนก็ใส่ชุดธรรมดาไปนะ ขอแค่สุภาพก็พอ อย่าลืมพกบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตไปด้วยนะ สำคัญมาก แล้วก็ใบ Admission Ticket ที่ปริ้นท์มาจากระบบ
ไปถึงสนามสอบก็จะมีคนมาตรวจเอกสาร พาไปนั่งรอในห้อง เขาจะอธิบายกฎระเบียบต่างๆ ฟังให้ดีๆ นะ อย่าทำผิดกฎล่ะ บรรยากาศในห้องสอบก็เงียบๆ ตึงเครียดนิดหน่อยเป็นธรรมดา
ตอนทำข้อสอบล่ะ เป็นไงบ้าง?
พอเริ่มสอบ ส่วนตัวผมว่าไอ้ Digital SAT เนี่ย มันก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิดไว้แฮะ มันทำในคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตที่เขเตรียมไว้ให้ ส่วนอังกฤษ (Reading and Writing) ก็อ่านเยอะเหมือนเดิม ศัพท์บางคำก็ยากเอาเรื่องอยู่ แต่ก็พยายามเดาจากบริบทเอา ส่วนเลข (Math) ก็มีทั้งง่ายทั้งยากปนๆ กันไป เครื่องมือในระบบมันช่วยได้เยอะเลยนะ เช่น ไอ้ตัว Desmos calculator เนี่ย ทำให้คล่องขึ้นเยอะ
มีคนชอบถามว่ารอบไหนง่ายกว่ากัน? เอาจริง ๆ นะ จากที่ไปสอบมา แล้วก็ฟังๆ เพื่อนๆ ที่ไปสอบรอบอื่นมา มันก็ไม่ได้ต่างกันฟ้ากับเหวหรอก เขาคงพยายามทำให้มันใกล้ ๆ กันนั่นแหละ อย่าไปเสียเวลาคิดมากเรื่องนี้เลย เอาเวลาไปเตรียมตัวดีกว่า
สอบเสร็จแล้วไงต่อ?
พอสอบเสร็จก็โล่งอกสุดๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ก็ต้องมารอลุ้นคะแนนต่ออีก ปกติคะแนนจะออกประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังสอบมั้งถ้าจำไม่ผิด ช่วงรอนี่ทรมานสุดๆ เข้าไปเช็คในเว็บ College Board ทุกวันเลย ฮ่าๆ

คะแนนที่ได้ กับสิ่งที่อยากฝากบอก
พอคะแนนออก…ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมาเลย ฮ่าๆ ตอนนั้นก็กังวลเรื่องคะแนนนะ ว่าต้องได้เท่าไหร่ถึงจะรอด เห็นเขาว่ากันว่าอังกฤษก็ควรจะแถว ๆ 350 ถึง 450 ส่วนเลขก็ 450 ถึง 490 อะไรประมาณนั้น แต่สุดท้ายก็แล้วแต่คณะอีกทีนะ บางที่เขาก็ไม่ได้เน้น SAT อย่างเดียว อาจจะมีสัมภาษณ์ สอบข้อเขียน หรือดูพอร์ตอย่างอื่นประกอบด้วย
สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ การสอบ SAT มันก็เหมือนการวิ่งมาราธอนน่ะ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ต้องมีวินัย แล้วก็ต้องอดทน อย่าท้อระหว่างทาง ถ้าเหนื่อยก็พัก แล้วลุกขึ้นมาสู้ต่อ ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน อย่างน้อยเราก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว
อ้อ อีกอย่าง อย่าไปเชื่อพวกที่บอกว่าข้อสอบ SAT มันยากเกินไปจนทำไม่ได้หรอก ถ้าเราเตรียมตัวดีพอ ฝึกทำโจทย์เยอะๆ ทำความเข้าใจกับมันจริงๆ ผมว่าทุกคนก็ทำได้แหละ สู้ๆ ครับ!
หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังจะไปผจญภัยในสนามสอบ SAT นะครับ ขอให้โชคดี!