พูดถึงคะแนน TOEFL เนี่ยนะ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นอะไรที่แบบ…วัดอะไรกันนักหนา แต่เอาน่า ตอนนั้นมันจำเป็นนี่หว่า ไม่งั้นจะเอาอะไรไปยื่นกะเค้าล่ะ
เรื่องของเรื่องคืออยากไปเรียนต่อนอกไง ความฝันลมๆ แล้งๆ ตั้งแต่เด็กๆ ดูหนังฝรั่งเยอะไปหน่อยมั้ง ฮ่าๆ ก็เลยต้องเริ่มจากไอ้เจ้า TOEFL นี่แหละ ขั้นตอนแรกสุดเลยก็ว่าได้ ตอนแรกก็มองโลกในแง่ดีเกิ๊น คิดว่าภาษาอังกฤษเราก็พอได้น่า ไม่อ่านเยอะก็คงไหว ชะล่าใจไปหน่อยเพื่อนเอ๋ย…

พอผลสอบครั้งแรกออกมาเท่านั้นแหละ…โอ้โห! อยากจะเอาหัวโขกกำแพง คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินชนิดที่ว่าไม่กล้าเอาไปให้หมาดูเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเฟลสุดๆ คิดในใจว่า “กูไม่น่าเลย” เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แล้วก็เสียความมั่นใจไปกองเบ้อเร่อ
แต่คนเราล้มแล้วก็ต้องลุกใช่ป่ะ? หลังจากนั่งซึมไปหลายวัน ก็ฮึดสู้ใหม่ คราวนี้ไม่ประมาทแล้วโว้ย! ไปหาซื้อหนังสือมาเป็นตั้งๆ ฝึกทำข้อสอบเก่าจนตาแฉะ ไอ้พาร์ทที่ว่ายากๆ อย่าง Reading ที่บทความยาวเป็นกิโลฯ หรือ Listening ที่พูดเร็วซะจนฟังแทบไม่ทัน ก็ต้องกัดฟันสู้กับมันไป
ส่วน Speaking นะเหรอ…อันนี้พีคสุด ตอนซ้อมพูดอัดเสียงตัวเองแล้วมาเปิดฟังทีหลังนี่แบบ…อยากจะกรี๊ด! สำเนียงเรามันไปวัดไปวาขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย? แต่ก็ต้องทนฟัง ทนแก้กันไป ส่วน Writing ก็เขียนแล้วลบๆ อยู่นั่นแหละ กว่าจะได้แต่ละย่อหน้า เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน
จำได้เลยว่าช่วงนั้นชีวิตโคตรจะทรหด ทำงานไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย กลับถึงบ้านก็ดึกดื่นเที่ยงคืน ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบไปทำงานอีก วนลูปอยู่แบบนั้นเป็นเดือนๆ เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ได้ไป ชีวิตมีแต่กองหนังสือกับจอคอมพิวเตอร์ บางทีก็ท้อนะ อยากจะเททุกอย่าง แต่พอนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ กับความฝันบ้าๆ บอๆ ของตัวเอง ก็เออ…สู้ต่ออีกหน่อยวะ!
พอถึงวันสอบครั้งที่สองนี่ตื่นเต้นกว่าเดิมอีกนะ เหมือนจะเอาจริงเอาจังกว่าเดิม ความคาดหวังมันสูงขึ้นไง ตอนอยู่ในห้องสอบนี่มือเย็นเฉียบ ใจเต้นตึกตักๆ กลัวทำไม่ได้ กลัวพลาดเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็พยายามทำสมาธิ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังสอบเสร็จก็มารอลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อ พอคะแนนออกมา…เฮ้อออออ! ค่อยยังชั่วหน่อย มันไม่ได้ดีเว่อร์วังอลังการอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอจะเอาไปยื่นได้แล้ว ตอนนั้นคือโล่งอกสุดๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอกจริงๆ
ทีนี้มาถึงตอนพีค…ไอ้คะแนน TOEFL ที่ได้มาเนี่ย ตอนแรกก็ว่าจะเอาไปยื่นเรียนต่อโทตามที่ฝันไว้นั่นแหละ เตรียมเอกสารนู่นนี่นั่นวุ่นวายไปหมด แต่ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนว่ะเพื่อนเอ๋ย อยู่ๆ แพลนทุกอย่างก็พังลงมาซะงั้น! ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้ปีนั้นอดไปเรียนต่อ…โคตรเซ็งเลยบอกตรงๆ คิดว่าไอ้ที่พยายามมาทั้งหมดนี่มันจะสูญเปล่าแล้วเหรอวะ?
แต่เชื่อป่ะ? ในความโชคร้ายมันก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ หลังจากเฟลเรื่องเรียนต่อไปได้ไม่นาน อยู่ดีๆ ก็มีบริษัทนึงติดต่อมา เค้าเห็นว่าเรามีคะแนน TOEFL แล้วกำลังหาคนไปทำโปรเจกต์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษพอดี๊พอดี ตอนแรกก็งงๆ นะ แต่ก็ลองไปคุยดู กลายเป็นว่าได้งานเฉยเลย! งานก็โอเคเลยนะ ได้ใช้ภาษาเต็มที่ แถมไม่ต้องไปกังวลเรื่องหาเงินเรียนต่อแล้วด้วยช่วงนั้น
มันทำให้คิดได้ว่า บางทีสิ่งที่เราตั้งใจทำไปมากๆ เนี่ย ถึงแม้มันจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่เราคาดหวังไว้เป๊ะๆ แต่มันก็ไม่เคยสูญเปล่าว่ะ อย่างน้อยๆ เราก็ได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ ได้พัฒนาตัวเอง ไอ้คะแนน TOEFL นั่นก็เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้พาเราไปเรียนต่อในตอนนั้น แต่มันก็เปิดประตูอีกบานให้เราเฉยเลย

ชีวิตมันก็แบบนี้แหละเพื่อน บางทีก็เล่นตลกกับเราแบบไม่ทันตั้งตัว แพลนที่วางไว้อย่างดีอาจจะต้องโยนทิ้งไป แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะก่อน มันก็มักจะมีทางใหม่ๆ โผล่มาให้เราเสมอแหละ บางทีทางใหม่นั้นอาจจะดีกว่าทางเดิมที่เราคิดไว้ด้วยซ้ำไป ใครจะไปรู้?
สรุปคือ คะแนน TOEFL มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเดินทาง อย่าไปยึดติดกับมันมากจนเกินไป เตรียมตัวให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุดก็พอ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไง หรือมันจะพาเราไปทางไหนต่อ…ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตบ้างก็ได้ อย่างน้อยเราก็ได้พยายามแล้ว จริงมะ?